สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนึ่งในทีมงานการตลาดที่ทำงานให้กับสินค้าตัวนึงที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมาคือทีมการตลาด ในแคมเปญ Obama for America

คุณเซย์จิ คาร์เปนเตอร์เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ก่อนหน้าจะเข้าร่วมแคมเปญ Obama for America เซย์จิเคยมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทยกับมูลนิธิกระจกเงาเพื่อมาช่วยชาวบ้านที่โดนผมกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ ก่อนหายไปร่วมทำเคมเปญทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์นานถึงสองปี พอได้โอกาสกลับมาที่ประเทศไทยในช่วงนี้เลยมาเล่าประสบการณ์การทำงานสองปีว่าผ่านช่วงเวลาอะไรมาบ้าง

การพูดคุยกินเวลา 3 ชั่วโมงครับ ทั้งพูดคุยในห้องประชุมจนไปจบที่โต๊ะอาหารกลางวัน ตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังอะไรไว้สูงมากเพราะตอนที่รู้ว่าจะมีคนทำแคมเปญให้โอบาม่ามาเราก็ไม่รู้จักซักคน และไม่ได้รู้ชื่อ หรือเห็นหน้าค่าตาก่อนการเข้ามาพูดคุยด้วยซ้ำ แต่พอได้มีโอกาสคุยได้ครู่เดียวเท่านั้นก็รู้เลยว่าวันนี้เจอของดีแน่นอน

นอกจากพูดคุยแล้วคุณเซย์จิ  ยังเปิดสไลด์อธิบายว่าทีมทำงานล้มยักษ์ในแคมเปญนี้มีโครงสร้างอย่างไร ในบทสนทนาส่วนมากผมคิดว่าเป็นความลับด้วยซ้ำ และไม่น่าจะเอามาเล่าให้ฟังต่อได้ เลือกมาแต่เรื่องที่น่าจะเล่าให้ฟังได้ คุณเซย์จิบอกว่าตอนที่โอบาม่าตัดสินใจลงท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นคุณสมบัติเป็นรองฮิลลารี คลินตันแทบทุกอย่างทั้งเรื่องของประสบการณ์ ฐานเสียง คอนเนกชั่นระดับสูงๆที่มี กลุ่มคนบริจาคเงิน รวมไปถึงชื่อของโอบาม่าที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากเมื่อเทียบกับฮิลลารี

เซย์จิเปรียบเทียบไว้ว่า สิ่งเดียวที่นายบารัก โอบาม่า(ในขณะนั้น) มีคือ สุนทรพจน์ชิ้นเดียวที่กล่าวไว้ได้อย่างน่าประทับใจในงาน Democrat National Convention เมื่อปี 2004 ซึ่งก็เป็นเพียงแค่สุนทรพจน์เดียวที่คนที่มีโอกาสได้ฟังส่วนมากก็อยู่ในวงแคบๆที่สนใจการเมืองมากๆเท่านั้น แต่ด้วยปรัชญาการทำงานของทีมโอบาม่า ตอนเริ่มแคมเปญที่บอกไว้ว่าการร่วมทีมครั้งนี้เป็น โอกาสที่ประชาชนที่จะจะได้แสดงความรับผิดชอบอย่างไม่รู้จบ (Never ending opportunity for responsibility) ซึ่งแปลออกมาง่ายๆก็คือ เราสามารถทำงานได้เสมอๆ ซึ่งสิ่งสำคัญคือโอบาม่าทำให้ทุกคนเชื่อเช่นนั้นได้ และ ทำงานให้ออกมาประสบความสำเร็จได้จริงๆ

นอกจากเรื่องของปรัชญาการทำงานแล้ว การจัดการองค์กรก็เป็นเรื่องสำคัญ วิธีการทำงานง่ายๆอย่างหนึ่งของทีมโอบาม่าคือการได้โปรโมททันทีที่เรียนรู้งานที่ทำอยู่ได้ดีแล้ว ยกตัวอย่างว่าสมมติผมเข้าไปช่วยงานในฐานะพนักงานโทรศัพท์หาประชาชนเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอบาม่า พอทำได้ระยะนึงถ้าเก่งแล้วก็อาจจะขยับจากโทรวันละเครื่องเป็นสามเครื่อง จากสามเครื่องเป็นห้าเครื่อง พอมั่นใจว่าจัดการได้ก็ขยับมาเป็นหัวหน้าทีมโทรศัพท์ พอทำได้ระยะนึงก็ขยับมาเป็นหัวหน้าทีมจัดการข้อมูลที่ได้จากการโทรศัพท์ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้ทีมแคมเปญของโอบาม่าทสามารถรับคนมาเข้าร่วมมหาศาลถึง 20 ล้านคน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และองค์กรทำงานทางการเมืองทีมแคมเปญโอบาม่าทีมนี้ ก็เป็นทีมทำงานที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งในรัฐบาลพรรคเดโมแครตในขณะนี้ เพราะส่วนมากก็เข้าไปได้ดิบได้ดีทั้งในรัฐบาล ไม่ก็คณะกรรมาธิการพรรคเดโมแครตด้วย

คุณเซยจิเล่าความประทับใจที่มีต่อบารัก โอบาม่าไว้หลายอย่าง อย่างเช่นมีอยู่หลายๆจุดที่ทีมทำงานท้อแท้และกังวลว่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องแข่งกับฮิลลารี คลินตัน แต่ทุกครั้งที่ท้อแท้ โอบาม่าก็จะเข้ามาพูดคุยด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความกังวลและคำพูดที่ปลุกใจให้ทีมงานกลับมาทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง คุณเซย์จิยอมรับว่าการทำงานของพวกเค้าในฐานะทีมที่ว่ากันว่าทรงพลังและมีศักยภาพสูง จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลยถ้าไม่มีสินค้าที่เยี่ยมยอดอย่างบารัก โอบาม่า ผมถามเซย์จิไปว่าถ้าเปลี่ยนตัวผู้ท้าชิงจากโอบาม่าเป็นจอห์น แมคเคน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรถ้าใช้ทีมทำงานชุดเดียวกับที่ปั้นให้โอบาม่าเป็นประธานาธิบดี เซย์จิก็บอกว่าพวกเค้าก็ไม่สามารถปั้นให้แมคเคนชนะได้อยู่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนจากโอบาม่าเป็นฮิลลารี คลินตันแล้วละก็ พวกเค้าน่าจะสามารถสร้างให้วันนี้อเมริกามีประธานาธิบดีหญิงคนแรกไปแล้ว

เอาพอหอมปากหอมคอครับ

ความจริงเซย์จิเล่าอะไรมากกว่านี้อีกแต่หลายๆอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเอามาเล่าได้มากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวโอกาสหน้าจะขอสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการไปเลยดีกว่า ฟังแล้วอยากไปทำงานกับทีมโอบาม่าด้วยจัง ไม่น่าเชื่อว่าแค่ปรัชญาทางการเมืองเล็กๆ(แต่ยิ่งใหญ่) ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้ จะสามารถขับเคลื่อนโลกได้ทรงพลังขนาดนี้