*/
<< | มกราคม 2021 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 |
ไปด่านช้าง ...ก็ต้องขี่ช้าง ฉันไม่ได้รู้จัก “ด่านช้าง” มากไปกว่าเป็นอำเภอหนึ่งใน จ. สุพรรณบุรี ที่ฉันจะต้องขับรถไปให้ถึง เพราะด่านช้างเป็นหมุดหมายสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ อ. บ้านไร่ จ. อุทัยธานี ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของทริปนี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ฉันศึกษาแผนที่เส้นทางจากกูเกิลตามเส้นทางที่เพื่อนที่บ้านไร่บอก และท่องจำไว้ว่า ... “ขับรถจากสุพรรณ ไปดอนเจดีย์ ผ่านสระกระโจม และด่านช้าง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านไร่” นี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันขับรถไปบ้านไร่โดยใช้เส้นทางนี้ (ทริปก่อนหน้านี้ ฉันไปทางถนนเอเชีย ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท แล้วเลี้ยวซ้ายทางแยกท่าน้ำอ้อย เข้าพักที่ อ. เมืองอุทัยธานีก่อน แล้วจึงไปบ้านไร่) เก้าโมงยามสาย...ท้องฟ้าสดใสเป็นสีฟ้าลมแรงในฤดูหนาวพัดเย็น ๆ ฉันขับรถไปสุพรรณบุรีบนเส้นทางที่เกาะกลางและสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงร่มรื่นสวยงาม พลางนึกชื่นชมกรมทางหลวงและขอบคุณท่านบรรหาร ศิลปอาชาผู้พัฒนาเมืองสุพรรณ ฉันชักจะชอบจังหวัดนี้มีหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และวรรณคดี ฉันขับตรงรี่ไปเรื่อย ๆ ผ่านตัวเมืองสุพรรณไปกระทั่งถึงเขต อ. ศรีประจันต์ (ชื่อแม่ของนางพิมพิลาไลในเรื่องขุนช้างขุนแผน) ฉันแวะเติมน้ำมันแล้วถามเด็กปั้มว่า “น้อง ไปดอนเจดีย์ ทางนี้ได้ไหม” “ไปดอนเจดีย์ได้ พี่เลี้ยวซ้ายข้างหน้าเลย” การขับรถโดยใช้ความรู้สึกว่า “น่าจะไปทางนี้” ของฉัน สร้างความตื่นเต้นให้เสมอ ว่า “ไปถูกทาง” หรือ “หลง” ฉันไม่เคยหวั่นกับการหลงทาง ฉันไปได้หมดถ้าสดชื่นตราบใดที่รถมีน้ำมัน แม้ใครบอกว่า “หลงทางเสียเวลา หลงติดยาเสียอนาคต” ฉันกลับคิดว่า การหลงทางทำให้เรารู้เส้นทางใหม่ ๆ ได้กำไรชีวิต แต่หากรู้ว่าหลงทางให้รีบหาทางแก้ไขด้วยการยูเทิร์นกลับหรือไม่ก็ถามผู้คนข้างทาง ส่วนใครที่หลงติดยา อันนี้เสียอนาคตแน่นอน ฉันมาถึงดอนเจดีย์ ไม่มีหลงเพราะตรงหน้าเห็นอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโดดเด่นเป็นสง่ากลางเมือง ฉันแวะกราบสักการะสมเด็จพระนเรศวรจากนอกรั้ว เนื่องจากมีการทำพิธีปลุกเสกพระ จึงไม่อนุญาตให้เข้าไปด้านใน ฉันจึงยืนพินิจพิศมองจากนอกรั้วจินตนาการย้อนกลับไปในอดีตที่พระองค์ทรงช้างแล้วทำการยุทธหัตถี (ชนช้าง) กับพระมหาอุปราชแม่ทัพพม่า การประทับบนคอช้างต่อสู้กับศัตรูคงไม่ใช่ง่าย หากไม่มีหัวใจนักสู้ผู้นำที่แกร่งกล้าหาญและความชำนาญในการใช้อาวุธยาวเข้าประจัญแล้วก็คงไม่อาจเอาชนะได้เลย พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ (Don Chedi Monument) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ กองทัพบกได้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงระฆังกลมใหญ่ สูง ๖๖ เมตร ฐานกว้างด้านละ ๓๖ เมตร ครอบเจดีย์องค์เดิมไว้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จมาประกอบพิธีบวงสรวงและเปิดพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ ๒๕ มกราคม ของทุกปี เป็นวันถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์และถือเป็นวันกองทัพไทย พร้อมกันนั้นทางจังหวัดได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลองพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ทุกปี เลยจากเจดีย์ไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นที่ตั้งของพระตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายในมีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระสุพรรณกัลยา (ขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต) จากนั้นเราเดินดูของที่แม่ค้านำมาขายก่อนวันงานประจำปีของดอนเจดีย์ที่ใกล้จะมาถึง ฉันซื้อกล้วยน้ำว้าหนึ่งหวี ส่วนสามีซื้อข้าวเหนียวหลามสองกระบอก แล้วหาข้าวเที่ยงกินในบริเวณงานนั้นเอง เราเดินทางต่อ...จากดอนเจดีย์ไปสระกระโจม...ฉันมองหาป้ายบอกทางไปสระกระโจมด้วยการขับรถเวียนอนุสาวรีย์ดอนเจดีย์หนึ่งรอบอย่างงง ๆ จึงเห็นป้ายบอกเส้นทางไป...ด่านช้าง ไชโย... สี่แยกกลางเมือง อ. ด่านช้าง เส้นทางจากสระกระโจมไปด่านช้าง สองข้างทางเห็นแต่ไร่อ้อยสุดลูกหูลูกตา และบนถนนยังมากด้วยรถสิบล้อบรรทุกอ้อยเต็มล้นคันแล่นคลานช้า ๆ บดบังทัศนวิสัยเบื้องหน้า ฉันต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่า เมื่อเราขับรถผ่านโรงงานน้ำตาล “บริษัทมิตรผล” จึงทำให้ฉันรู้ว่าประเทศไทยมีโรงงานน้ำตาลใหญ่อีกแห่งที่ อ. ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี (นอกเหนือจาก นครสวรรค์ กาญจนบุรี และขอนแก่น) แลเห็นรถบรรทุกอ้อยที่จอดเข้าคิวเป็นแถวยาวเหยียดเพื่อรอส่งอ้อยเข้าโรงงาน อา...ฤดูกาลตัดอ้อยมาถึงแล้วในเดือนธันวาคม...แต่ก็แปลกใจนิด ๆ ว่า “เดี๋ยวนี้ไม่มีการเผาไร่อ้อยแล้วหรือ..ดีจัง” จากตัวอำเภอด่านช้าง เส้นทางเริ่มขึ้นเนิน สภาพภูมิประเทศมองเห็นภูเขารายรอบอยู่ไกล ๆ เริ่มเห็นสีเขียวของต้นไม้ใหญ่มากขึ้น ถนนเส้นตรงที่ทอดยาวขึ้นบนที่เนินสูงสองเนิน...มองเห็นเสาวิทยุสูงบนยอดเนิน หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวงด่านช้างนะเอง... ติดกันนั้น มีร้านริมทาง “ก๋วยเตี๋ยวกะลาห้อยขา” เห็นมีรถจอดอยู่ริมถนนหลายคันแสดงว่า “เป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว” แต่ด้วยความเร่งรีบมุ่งไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ อ. บ้านไร่ก่อนยามเย็นเพราะเพื่อนรออยู่ ฉันจึงขับผ่านเลยร้านก๋วยเตี๋ยวไป แต่ไม่วายปรายสายตาไปมองแล้วร้องออกมาว่า “ว้าว มีขี่ช้างด้วย” “ค่อยกลับมาแวะตอนขากลับ” ฉันบอกกับสามี ในใจฉันอยากขี่ช้างขึ้นมาทันใด วันเดินทางกลับ ฉันขับรถมาทางเดิม แต่พอเห็นร้าน “ก๋วยเตี๋ยวกะลาห้อยขา” ฉันก็ขับเลยไปแล้ว “อ้าว ไหนว่าจะจอดขี่ช้าง แล้วทำไมไม่จอด” สามีถาม “เอ้อ จอดไม่ทัน ขับเลยมาแล้ว ไม่เป็นไร ค่อยมาขี่ช้างคราวหน้า” ฉันรีบขับรถลงเนินมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ คิดว่าครั้งหน้าจะไม่หลงอีก... ***** สิบวันผ่านไป... หลังกลับมากรุงเทพฯ แล้ว ในใจฉันมีแต่ “อยากขี่ช้าง” ตลอดเวลา ฉันชั่งใจคิดไม่ตกว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี เพราะข่าวการแพร่ระบาดของโควิดที่เริ่มขยายไปหลายจังหวัดมากขึ้น ฉันลองเสี่ยงดวงด้วยการโทรไปถามรีสอร์ตที่เคยพักซึ่งทราบว่าถูกจองเต็มหมดแล้วช่วงปีใหม่ “หากว่าง.. ก็ไป หากไม่ว่าง.. ก็ไม่ไป” ฉันบอกกับตัวเอง ให้ที่พักเป็นตัวช่วยตัดสิน “ว่างค่ะ หนึ่งห้อง เผอิญมีคนยกเลิก” ทางรีสอร์ตตอบมา ฉันรีบไลน์ไปบอกสามีที่ทำงาน “พรุ่งนี้ ไปบ้านไร่ จองที่พักได้แล้ว” ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ฉันขับรถบนถนนไปสุพรรณอีกครั้งหนึ่ง คิดถึงเพลง“On The Road Again” by Willie Nelson ของวิลลี เนลสัน ดังขึ้นมาในโสตประสาท “…And I can't wait to get on the road again https://www.youtube.com/watch?v=Gdlyi5mckg0 การเดินทางครั้งที่สอง ฉันชำนาญในเส้นทางมากขึ้น ขับรถไม่หลงทางเหมือนครั้งแรก ขณะกินข้าวเช้าที่บ้านก่อนออกจากบ้าน ฉันบอกกับสามีว่า “มื้อเที่ยง ค่อยไปกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่ด่านช้าง แล้วขี่ช้างด้วย” ราวบ่ายสอง...ฉันขับรถมาจอดที่หน่วยบริการตำรวจทางหลวงด่านช้าง พอเปิดประตูลงจากรถ ได้ยินเสียงทางร้านประกาศผ่านลำโพง ว่า “ตอนนี้ ก๋วยเตี๋ยวของเราหมดแล้วนะครับ” “โอ้พระเจ้า เข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า” ฉันบอกกับตัวเอง จากนั้น เราก็เดินมาดูว่า ที่ร้านนี้มีอะไรกินมั่ง ในเมื่อก๋วยเตี๋ยวหมด อ๋อ มีที่นั่งห้อยขาเป็นเช่นนี้นี่เอง น่านั่งรับลมเย็นชมวิวชิลๆ มาก วันนั้น นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก พอมีที่ว่างให้นั่ง เราเลือกนั่งห้อยขาตรงนี้ มองเห็นเนินเบื้องหน้าเป็นป่าหญ้าสีเหลืองแกมน้ำตาลสลับเขียว พื้นที่บริเวณนี้ปลูกอ้อย แต่ตอนนี้ตัดอ้อยไปหมดแล้วเหลือแต่ดินสีแดง นั่งห่างๆ ป้องกันโควิด เราหิวมาก ฉันจึงสั่งไก่ทอด ข้าวเหนียวและผัดไทยมาแก้หิว เมื่อเด็กสาวเทินถาดไก่ทอดเดินมาเสริฟ ฉันถามเด็กสาวว่า “น้องรู้ไหม ขี่ช้าง คิดยังไง” “ช้างตัวผู้ 500 บาท ตัวเมีย 300 บาท”เด็กสาวที่เทินถาดขายไก่ทอดบอก “อ้าว ทำไม ตัวผู้ คิด 500 หละ” ฉันถามด้วยความสงสัย “ช้างตัวผู้ ชื่อพลายมงคล เป็นช้างที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตั้งชื่อให้” พลันที่ฉันได้ยินเด็กสาวขายไก่ทอดพูดว่า “ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตั้งชื่อให้” ฉันรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย แปลกจังเลย จะซื้อแค่ซื้ออาหารป้อนให้ช้างก็ได้นะคะ ตะกร้าละ ๒๐ บาทหรือ ๔๐ บาท วันนี้ เป็นมันแกว
ช้างพัง ตัวเมีย ตัวอ้วนกลมน่ารักดี เมื่อกินข้าวเหนียวไก่ทอด และผัดไทยเสร็จ ฉันเดินไปบอกชายคนที่ทำหน้าที่จัดคิวให้เช่าช้างว่า “จะขี่ช้างค่ะ” “จะเลือกขี่ช้างตัวผู้ ราคา 500 บาท หรือช้างตัวเมีย ราคา 300 ครับ” ชายผู้จัดคิวถาม “จะขี่ช้างที่ชื่อ พลายมงคล” ฉันตอบ
พลายมงคล ช้างหล่อมาก จากนั้น ฉันก็ได้ขี่ช้างพลายมงคล เดินไปตามเส้นทางอ้อมไปรอบเนินเขาบริเวณนั้น ลมเนินเขาในฤดูหนาวพัดมาเย็นสดชื่นทำให้ฉันนึกถึงเพลง “กลางดง” ของวงดิอิมพอสซิเบิล และเมื่อช้างเดินโยกไปโยกมาก็คิดถึงดนตรีประกอบหนังฝรั่งเรื่อง “ฮาตาริ” Hatari ตอนที่นางเอกพาช้างอาบน้ำขึ้นมาทันใด (ใครที่เกิดไม่ทันหาคลิปดูหนังได้นะคะ) https://www.youtube.com/watch?v=FoDCXvZLKBg “กลางดง พงป่าเขาลำเนาไพรไกลสังคม... มีแดนรื่นรมย์แสนชื่นชมมีเสรี ไร้ทุกข์สนุกสนาน...”
Hatari ! เป็นหนังผจญภัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าในอัฟริกาที่สนุกมากมีช้างด้วย โดยฉากที่นางเอกพาช้างอาบน้ำจะมีทำนองเพลงประกอบสุดคลาสิค ลองฟังดูสิคะ https://www.imdb.com/video/vi3528458265?playlistId=tt0056059&ref_=tt_ov_vi
บนหลังช้างพลายมงคล ยลทิวทัศน์แลเห็นเนินลดลัดหลั่นกันไปในทุ่งหญ้าสีเหลืองแกมน้ำตาลสลับเขียวงดงามยิ่งนัก ราวกับจะบอกว่าฤดูแล้งกำลังจะมาเยือนต่อจากฤดูหนาว บนเนินในเส้นทางที่เราเดินทาง มองไปเห็นมีหินก้อนใหญ่ ๆ ประปราย แสดงว่าที่นี่เคยเป็นภูเขามาก่อนที่ถนนจะตัดผ่าน ระหว่างทาง นอกจากสายลมเย็นที่พัดมาปะทะแล้ว บนหลังช้างก็มีแต่ควาญช้างกับฉัน ฉันก็สนทนากับควาญช้าง “คุณคะ ทำไมช้างพลายมงคล ถึงผอมกว่าตัวอื่นๆ” ฉันช่างสงสัยด้วยความสงสารช้าง “อ๋อ ช้างผู้ให้อ้วนมากไม่ได้ เดี๋ยวจะตกมัน” ควาญช้างบอก ซึ่งฉันต้องเชื่อคนเลี้ยง เพราะช้างตัวอื่นที่อ้วนกลมล้วนเป็นช้างพังตัวเมีย แล้วฉันก็ถามต่อ “พลายมงคล อายุเท่าไหร่คะ” ฉันถาม “๕๘ ปี แล้วครับ” ควาญช้างตอบ “โอ้โห ถ้าเทียบกับคนอายุหละเท่าไหร่เนี่ย” ฉันถามอย่างรู้สึกทึ่งในอายุที่มากของพลายมงคล “อายุช้างนับเท่ากับคน ครับ คือ ๕๘ ปีแล้ว ส่วนผม อายุ ๒๗ ปี พลายมงคลแก่กว่าผมอีก” ควาญช้างบอก “ช้างตัวนี้ ผมเลี้ยงมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ เป็นช้างในครอบครัว ได้เอาไปถวายในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่ในวัง ในหลวงจึงตั้งชื่อให้ว่า “พลายมงคล” แต่ไม่มีคนเลี้ยง เพราะเป็นช้างที่ดุมาก ต่อมาช้างถูกส่งไปเลี้ยงที่ปางช้าง จ. กาญจนบุรี ในค่ายทหารอยู่หลายปี แล้วผมไปเอากลับมาเลี้ยงที่บ้าน” ควาญช้างเล่า ฉันฟังแล้วทำให้คิดถึงหนังเรื่อง “องค์บาก ๒” ที่แสดงนำโดยจาพนมขึ้นมาทันที คนรักช้างจะมีความผูกพันกับช้าง และช้างก็จะผูกพันกับคนเลี้ยงเช่นกัน ความรักความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์ใหญ่ช่างงดงามพลายมงคลจากบ้านไปนานหลายปี ในวัยที่ย่างเข้าสู่วัยชราแล้วหากเปรียบเหมือนคน การกลับมาอยู่ในการดูแลของคนที่รักเขาย่อมดีที่สุด คิดๆ แล้วฉันรู้สึกดีใจแทนพลายมงคล “งั้นคุณก็เป็นควาญช้างคนเดียวที่ขี่พลายมงคลสินะ” ฉันถาม “ครับ แต่กับคนในครอบครัวช้างไม่ทำอะไร อย่างย่าของผม ช้างก็ไม่ทำอะไร” ควาญช้างบอก พอช้างเดินมาถึงช่วงลงเนินชัน ควาญช้างก็บอกฉันว่า “เอาเท้ายันหัวไหล่ช้างไว้นะครับ เดี๋ยวที่นั่งจะไหล” ฉันทำตามที่ควาญช้างบอกอดตื่นเต้นไม่ได้ มือเกาะที่นั่งไว้แน่นพร้อมกับเอาเท้ายันหัวไหล่ช้างไว้ หยุดถ่ายภาพชั่วขณะ แล้วช้างก็เดินลงเนินหัวทิ่มลงอย่างนุ่มนวล ช้างเดินเก่งมาก ควาญช้างบอกฉันว่า “ผมขออนุญาตไปเอาต้นกล้วยให้รางวัลช้างหน่อยนะครับ เดี๋ยวเขาได้พักแล้ว” ช้างก็เหมือนจะฟังรู้เรื่อง ว่าแล้วพลายมงคลก็เดินตรงไปยังต้นกล้วยป่าที่ขึ้นอยู่สามสี่ต้นข้างทางแล้วใช้งวงดึงต้นกล้วยมาหนึ่งต้นอย่างง่ายดาย โดยใช้งวงถือต้นกล้วยกลับมาด้วย มันช่างแสนรู้และรู้จักว่าต้นกล้วยอยู่ตรงไหนด้วย เก่งมาก พลายมงคล ฉันรู้สึกรักช้างตัวนี้เสียแล้วซี พลายมงคลเอางวงหิ้วต้นกล้วยกลับมาด้วย จากนั้นควาญช้างก็เดินกลับมาที่ถนนเป็นอันว่าครบหนึ่งรอบของการขี่ช้าง เราอยู่สูงมากเลย ฉันถ่ายรูปเงาจากบนหลังช้าง คุณเห็นเงาต้นกล้วยไหมคะ เมื่อลงจากหลังช้างแล้วฉันไปซื้อหัวมันแกวให้พลายมงคลเป็นรางวัลด้วย กินเสร็จแล้ว ควาญขี่พลายมงคลไปอาบน้ำให้เย็นชื่นใจ พลายมงคลพ่นน้ำให้ตัวเองด้วย รดราดน้ำพ่นใส่ตัวเปียก แล้วเดินไปพักผ่อนอีกฟากหนึ่งของถนน…. ในที่สุดฉันได้ขี่ช้างสมใจฉลองวันส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๓ อย่างมีความสุขมากค่ะ หากเพื่อนๆ อยากขี่ช้างก็แวะไปที่ด่านช้างได้ นะคะ และฉันไม่แปลกใจทำไมถึงมีช้างที่ด่านช้าง ชื่อก็บอก มาอ่านประวัติด่านช้างแล้วก็จะรู้ค่ะ ประวัติเกี่ยวกับอำเภอด่านช้าง ด่านช้าง เดิมอยู่ในเขตปกครองของอำเภอเดิมบางนางบวช สภาพภูมิประเทศทางด้านตะวันตกเป็นเทือกเขาสูงชัน และพื้นที่ลอนลาดสลับกับลอนชัน ลาดต่ำลงมาทางทิศตะวันออก เป็นแนวเขาที่ติดกับเทือกเขาตะนาวศรี มียอดเขาสูงที่สุด ได้แก่ยอดเขาเทวดา สูง ๑,๑๒๓ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่สมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้เบญจพรรณ มีป่าสนสองใบ แหล่งแร่ดีบุก วูลแฟม หินแกรนิต และหินปูน ตลอดจนสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก ในอดีตบริเวณลำห้วยกระเสียวได้มีโขลงช้างขนาดใหญ่ ลงมากินน้ำและเล่นน้ำเป็นประจำ จึงได้มีการขนานนามบริเวณดังกล่าวว่าเป็น ด่านช้าง อันเป็นที่มาของชื่อเรียกอำเภอมาจนถึงปัจจุบัน (ขอบคุณข้อมูลจากวิกีพีเดีย) ขอบคุณพื้นที่ดีๆ แห่งโอเคเนชั่นค่ะ
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |