*/
<< | พฤศจิกายน 2012 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | ||||
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
ความน่าพิศวงของอียิปต์ สำหรับแม่มดนั้น เริ่มตั้งแต่ที่ท่าอากาศยาน Luxor เมื่อเราบินไปถึงตอนบ่ายๆเลยทีเดียว แม่มดถูกกักตัวไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองค่ะ ลูกชายและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ถือหนังสือเดินทางเยอรมัน นายด่านท่านโบกมือให้ผ่านไปได้โดยไม่ขอดูอะไรทั้งสิ้นทั้งๆที่พวกเขาไม่มีวีซ่าเข้าประเทศอียิปต์เสียด้วยซ้ำ ที่ไม่มี ก็เพราะเขาไม่ต้องใช้ ฝรั่งชาติร่ำรวย ชาติที่พัฒนาแล้วมีแต่คนดีค่ะ ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ต้องควบคุมกัน ในเครื่องบินลำนั้น แม่มดเป็นคนเดียวที่เป็นคนผิวเหลือง จึงต้องมีวีซ่าซึ่งแม่มดก็อุตส่าห์เสียเวลา เสียสตางค์ไปขอจากสถานกงศุลอียิปต์ที่แฟรงค์เฟิร์ทมาแล้วอย่างคนว่าง่าย
ความจริง เรื่องแบบนี้ แม่มดชินแล้วค่ะ คนถือหนังสือเดินทางไทย ไปไหนๆก็ต้องใช้วีซ่า ยกเว้นเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนกระมังคะ อ้อ สำหรับแม่มดซึ่งได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในประเทศเยอรมนีได้ ถ้าเดินทางในประเทศกลุ่ม Schengen ก็ไม่ต้องมีวีซ่าเหมือนกัน แต่ที่อียิปต์นี่พิเศษจริงๆ เจ้าหน้าที่เขาบอกว่า วีซ่าของแม่มดขาดตราประทับตราหนึ่ง ตรานั้น แม่มดก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของบริษัททัวร์เป็นคนตีประทับให้ในหนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันเองตอนที่พวกเราลงมาจากเครื่องบิน ไม่ใช่ตราที่มาจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแต่อย่างใด ดูเหมือนเป็นการตรวจเช็คจำนวนลูกทัวร์มากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการเข้าเมือง แต่เขาไม่ตีประทับให้คนผิวเหลืองหน้ากลมผมดำที่ถือหนังสือเดินทางไทย
แม่มดไม่ตกใจ ถามดีๆว่า แล้วจะให้ทำอย่างไรคะ นายด่านบอกว่า ต้องไปคุยกับเจ้านายดูก่อน แม่มดว่า งั้นก็ไปคุยซิคะ แต่ท่านว่า ผมยังไม่ว่างนี่ครับ อืมมมม..... ท่าทีอย่างนี้ เราคนไทยคุ้นๆกันอยู่นะคะ เพื่อนๆว่าไหม
แม่มดชักรู้สึกสนุกเลยว่า งั้นอิฉันจะคอยจนกว่าท่านจะว่างก็แล้วกัน ว่าแล้ว แม่มดก็หาที่นั่งสบายๆ ควักหนังสือคู่มือการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศอียิปต์จากเป้ขึ้นมาอ่านแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิดในใจว่า หากเรือ Pioneer 1 จะออกจากท่าไม่ได้เพราะฉัน ก็ให้มันรู้ไป แม่มดไม่ยักคิดว่า เรือเขาจะออกจากท่าไปโดยไม่มีแม่มด เออแน่ะ มั่นใจในตัวเองถึงเพียงนั้นเชียวนะ
ถ้าทริปนี้ แม่มดทำตัวเป็นคนเดินทางประเภทข้ามาคนเดียวอย่างที่เคยทำบ่อยๆเวลาท่องเที่ยวในยุโรปตะวันตก แม่มดคงจะนั่งไม่ติดอยู่เหมือนกัน แต่นี่แม่มดซื้อทัวร์เยอรมันมานี่คะ เอกสารการเดินทางก็ถูกต้องทุกอย่าง เลยออกจะแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคงไม่กล้าทำอะไรเกินเลย เพราะตัวแทนบริษัททัวร์ฝ่ายอียิปต์ไม่น่าจะเสี่ยงมีปัญหากับบริษัททัวร์ทางเยอรมัน ทุกฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็เห็นๆอยู่ หากดูแล้ว ท่าทางไม่ดีจริงๆ แม่มดก็ว่าจะให้ลูกชายโทรเข้าสถานกงศุลเยอรมันที่เมือง Luxor แล้วสถานกงศุลหรือสถานทูตไทยล่ะคะ ต่อคำถามนี้ แม่มดขอใช้สิทธิ์งดออกเสียงค่ะ
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง ถึงเวลาที่ผู้โดยสารทุกคนจะต้องไปรายงานตัวขึ้นเรือแล้ว นายอาลี ไกด์ประจำกลุ่มของเราก็เข้ามารับแม่มดไปส่งที่รถตู้ซึ่งจะพาเราไปที่ท่าเรือแบบไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านั้น นายคนนี้กับแม่มดมีอาการเหม็นหน้ากันตั้งแต่ต้นจนจบทริป แม่มดโบกมือบ๊ายบาย ส่งยิ้มหวานจ๋อยให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจอมป่วนที่สบตากับนายอาลีคนเดียว ไม่มองมาทางคนหน้าเหลือง ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่อยู่ในอียิปต์ แม่มดไม่ได้มีตราประทับเจ้ากรรมนั่นในหนังสือเดินทางเหมือนลูกทัวร์คนอื่นๆเลย
สนุกแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเที่ยว ใช่ไหมคะ แม่มดจะค่อยๆเล่าไปค่ะ เที่ยวหนนี้มีเรื่องสนุกๆเยอะเลย อารยธรรมโบราณของอียิปต์นั้น fascinating เหลือหลายแต่ลูกหลานเชื้อสายฟาโรห์นี่ irritating เหลือรับค่ะ
คืนนั้นเรานอนชมจันทร์เสี้ยวอยู่ในเคบินของเรือ Pioneer 1 ซึ่งยังทอดสมออยู่ที่ Luxor แต่แค่นั้น แม่มดก็มีความสุขมากมาย ก็เราอยู่ในเรือล่องแม่น้ำไนล์แล้วนี่คะ อุณหภูมิของอากาศในยามค่ำคืนอยู่ต่ำกว่า 10 องศาสักนิดแต่เวลากลางวันนั้นสบายๆอยู่ที่ประมาณ 25 องศา ฤดูหนาวเป็นเวลาที่น่าเที่ยวที่สุดของประเทศนี้ค่ะ Luxor ยามอรุณนี้งามนัก ให้ความรู้สึกสงบ สบายจนอยากจะหยุดวันเวลาไว้ตรงนั้น คนเดินทางที่หวังจะชมความงามของลุ่มน้ำไนล์ด้วยสายตาของนกบินต้องตื่นเช้ายิ่งกว่านกอีกนะคะ ตอนที่แม่มดตื่นขึ้นมากินลมชมวิวเกือบจะตามลำพังบนดาดฟ้าเรือเมื่อก่อน 6 โมงเช้านั้น บัลลูนของนักท่องเที่ยวลอยล่องอยู่แล้วเต็มท้องฟ้า หลังอาหารเช้าในเรือ เราก็ถูกต้อนไปขึ้นรถตู้ กลุ่มใครกลุ่มมันค่ะ แต่ละกลุ่มมีลูกทัวร์ไม่เกิน 10 คนและมีไกด์ท้องถิ่นที่เจรจาภาษาเยอรมันได้คล่องแคล่ว 1 คน รถตู้พาเราขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำไนล์ไปสู่ Thebes ที่อยู่ในทะเลทรายทางฝั่งตะวันตก จุดหมายแรกของเราคือ The Valley of the Kings
หุบเขาแห่งราชาคือที่ตั้งของสุสานที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์ในยุค The New Kingdom (1550-672 BC) ฟาโรห์สมัยนั้นทรงเตรียมสถานที่สำหรับสุสานของพระองค์ไว้ในหุบเขาที่อยู่ลึกล้ำเข้าไปในในทะเลทราย คือทรงหวังว่าที่ประทับสุดท้ายจะอยู่รอดปลอดภัยจากเงื้อมมือของนักล่าสมบัติโบราณ แต่เหนือฟาโรห์ยังมีโจรที่ไม่ใช่ อินเดียน่า โจนส์คนที่หล่อเหมือนคุณ Harrison Ford ตอนยังไม่แก่ สุสานกว่า 60 แห่งใน The Valley of the Kings จึงถูกขุด ถูกเจาะจนพรุนไปหมด (คงจะคล้ายๆกรุงศรีอยุธยาของเรากระมังคะ) เหลือเพียงสุสานของฟาโรห์ Yuya Tuya และ Tutankhamun เท่านั้นที่รอดมือโจรมาถึงมือของคุณ Howard Carter ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ได้
Howard Carter เป็นนักโบราณคดีชาวอังกฤษค่ะ เขาเริ่มสำรวจหุบเขาแห่งราชาด้วยทุนของ Lord Carnarvon ตั้งแต่ ค.ศ.1891 และค้นพบสุสานของฟาโรห์ทูทานคามูนในสภาพที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ในปี 1922 ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ในสุสานรวมทั้งมัมมี่ขององค์ฟาโรห์ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอียิปต์ในกรุงไคโร แต่ชิ้นที่เป็นเลิศจริงๆจำนวนไม่น้อยย่อมตกเป็นของผู้ที่ขุดค้น
แม่มดว่าเรื่องทำนองนี้เป็นสภาพหวานอมขมกลืนของประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติซึ่งต้องพึ่งพาเงินทุน วิทยาการและเทคโนโลยี่ของประเทศที่ก้าวหน้ากว่า จะศึกษาค้นคว้าโบราณสถานของตนเอง ความรู้ความสามารถก็มีไม่ถึง ครั้นให้ผู้คนจากบ้านเมืองอื่นมาสำรวจ ใครเล่าเขาจะมาทำให้โดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่ายใดเล่าจะมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า เอาเถอะค่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว การมีผลประโยชน์ร่วมกันเช่นนี้ คงจะดีกว่าการถูกโจรล่าสมบัติมาขุดค้นปล้นสินทรัพย์ของชาติไปขายให้พวกเศรษฐีนักสะสมจนหมดสิ้น
สรุปแล้ว เราได้ชมแต่สุสานเปล่าๆค่ะ แต่กระนั้นก็ยังวิจิตรพิสดารน่าตื่นตาตื่นใจ วิจิตรแค่ไหน เพื่อนๆต้องไปดูกันเองนะคะ เพราะเค้าไม่ให้ถ่ายภาพค่ะ จากนั้น เราก็ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์สตรีที่ วิหารของ Hatshepsut กัน แต่เรายังอยู่ใน The Valley of the Kings นะคะ ความจริงการแปลคำว่า king ในประวัติศาสตร์ยุคโบราณของอียิปต์ว่าราชา เป็นการแปลที่คลาดเคลื่อน ผู้ที่มีอำนาจปกครองสูงสุดในยุคนั้นคือฟาโรห์ซึ่งอาจจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ ฟาโรห์สตรีที่เรารู้จักกันดีที่สุดคือคลีโอพัตราไงคะ Hatshepsut เป็นธิดาของฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 1 เป็นชายาของฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 2 ซึ่งเป็นทั้งน้องชายต่างมารดาและสวามี การสมรสระหว่างพี่น้องในราชวงศ์อียิปต์ยุคโบราณเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติธรรมดาค่ะ
ฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 2 ครองราชย์เพียงสองสามปีก็สิ้นพระชนม์ Hatshepsut ซึ่งไม่มีทายาท ไม่ยอมให้ลูกเลี้ยงซึ่งยังเด็กอยู่ขึ้นมาเป็นฟาโรห์ ไม่ยอมรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย เธอประกาศว่าเธอต่างหากที่เป็นผู้มีสิทธิ์ปกครองอียิปต์ทั้งตอนบนและตอนล่างอย่างชอบธรรม ด้วยว่าตัวเธอนั้น แท้จริงแล้วเป็นธิดาของ Amun องค์เทพแห่งเทพซึ่งแปลงองค์มามีความสัมพันธ์กับพระราชินี Ahmose ในร่างมนุษย์ของฟาโรห์ Tuthmosisที่ 1 และองค์เทพบิดาได้มอบอำนาจในการปกครองดินแดนอียิปต์ไว้ให้แก่เธอ
อืมมมม.....ฝีไม้ลายมือในการสร้างภาพของฟาโรห์ Hatshepsut นี่ขั้นเทพจริงๆ เธอรู้จักคนของเธอและจิตวิทยาของสังคมที่เธอปกครองนะคะ แต่การมีผู้นำที่มีกึ๋นนี่เป็นโชคลาภของบ้านเมือง (คนไทยยามนี้น่าจะรู้ดีกว่าใคร ใช่ไหมคะ) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า Hatshepsut เป็นหญิงมั่นที่ทั้งเก่งและฉลาด แม้แต่กองทัพก็ยอมรับการเป็นผู้นำของเธอ (เอ จะว่าไป นี่ก็เหมือนในบ้านเรานี่นา แป่วววว....)
ในช่วงเวลา 22 ปี คือตั้งแต่ 1512 BC (ราชวงศ์ที่ 18 แห่ง The New Kingdom) ที่ Hatshepsut เป็นผู้ปกครอง อียิปต์ได้รับการพัฒนาทั้งทางการค้า ทางความสัมพันธ์กับต่างประเทศและมีความก้าวหน้าทางวิทยาการมากมาย สุสานของ Hatshepsut จึงอยู่ใน The Valley of the Kings ไงคะ เพราะเธอถือองค์เป็น Pharoah ไม่ได้เป็นเพียง Queen ซึ่งหมายถึงชายาเอกของผู้ปกครองที่เป็นชาย ภาพสลักบนฝาผนังของ Hatshepsut Temple ค่ะ วัวที่กำลังให้นมนี่คือสัญลักษณ์ของ Hathor เทวีผู้ให้กำเนิดและพิทักษ์องค์ฟาโรห์ และตัวด้วง (Khepri) คือสัญลักษณ์หนึ่งของ Atum เทพแห่งดวงตะวัน เวลาเราไปซื้ออะไรในร้านขายของที่ระลึก (ที่ขายของแพงๆ) เจ้าของร้านเขามักจะเอาใจเราด้วยการแถมหินแกะสลักรูปตัวด้วงตัวเล็กๆให้ เพราะเขาถือว่าตัวด้วงเป็นสัตว์นำโชคค่ะ
ความจริงโบราณสถานในทะเลทราย Thebes นี้มีมากมาย จะดูกันทั้งเดือน ก็คงไม่จบ แต่เรามีเวลานิดเดียว แม่มดเลยอดชมสุสานของ Queen Nefertari ชายาองค์โปรดของ Ramses ที่ 2 ใน The Valley of the Queens ที่ว่ากันว่าเป็นสุสานที่สวยที่สุดในอียิปต์ สุสานแห่งนี้ได้รับการค้นพบโดย Ernesto Schiaparelli นักโบราณคดีชาวอิตาเลียนใน ค.ศ. 1904 ค่ะ แล้วนายอาลี ไกด์ของเราก็พาเราไปช้อปปิ้ง พาไปซื้อน้ำมันหอมแบบอียิปต์ด้วยค่ะ เสียเวลาเที่ยวไปตั้งหลายชั่วโมง แม่มดล่ะเบื่อจริงๆ Colossi of Memnon คือรูปสลักหินสูง 18 เมตรของฟาโรห์ Amenhotep บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งวิหารของพระองค์ค่ะ แต่ฟาโรห์องค์หลังๆรื้อเอาหินไปก่อสร้างวิหารของตนเอง แถมยังเจอภัยน้ำท่วมอยู่บ่อยๆ วิหารใหญ่โตก็เลยเหลืออยู่แค่นี้เอง ตาอาลีแกไม่ได้พาลูกทัวร์ไปดู Colossi of Memnon เพื่อให้เกิดอารมณ์ปลงว่าอำนาจและลาภยศสรรเสริญเป็นสิ่งที่ไม่จีรังหรอกนะคะ แท้จริงแล้ว โบราณสถานแห่งนี้มีชื่อเสียงมากเพราะมีเรื่องเล่าว่า ในยุคที่อียิปต์อยู่ภายใต้การครอบครองของโรมัน ตอนตะวันขึ้น จะมีเสียงร้องเพลงเบาๆออกมาจากรูปสลักหิน (บรื๋ออออออ.....) ใครๆก็เลยแห่กันไปดู ไม่เว้นกระทั่งคนดังระดับจักรพรรดิ Hadrian นักเขียนยุคคลาสิกอย่าง Strabo และ Pliny ก็นำเรื่องราวนี้ไปเขียนถึง พวกกรีกน่ะถึงกับเล่าเป็นตุเป็นตะ (ประสานักพูด ที่ไม่ใช่นักปฏิบัติ ดูสถานการณ์ของบ้านเมืองกรีกตอนนี้ก็ได้ค่ะ) ว่ารูปสลักของ Memnon นั้นขับขานเสียงเพลงต้อนรับ Eos พระมารดาซึ่งเป็นเทวีแห่งยามอรุณ ทว่าผู้รู้ในยุคหลังแจงว่า รูปสลักหินนั้นแตกร้าวเพราะภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปีที่ 27 ก่อนคริสตกาลและเสียงออดแอดที่ดังออกมาเป็นเพลงนั้นมีสาเหตุมาจากอุบัติการณ์ครั้งนั้นนั่นเอง แต่ผู้รู้ท่านไม่ได้อธิบายให้ชัดแจ้งต่อไปนะคะว่า ทำไมเสียงนั้นจึงเกิดขึ้นเฉพาะตอนเช้าตรู่ !!!! พอถึง ค.ศ. 199 Emperor Septimius Serverus แห่งอาณาจักรโรมัน เกิดมีพระประสงค์ดี รับสั่งให้ซ่อมแซมรูปหินสลักที่คงจะทรุดโทรมเต็มที Memnon ก็เลยหยุดร้องเพลง แม่มดเลยรายงานเพื่อนๆไม่ได้ว่าเสียงเพลงรับอรุณนั้นโหยหวนชวนขนลุกเพียงใด โรงแรมลอยน้ำทอดสมออยู่หน้าเมือง Luxor ค่ำนั้น ขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารเย็นที่มีทั้งคาวหวาน อาหารฝรั่งและอาหารพื้นเมือง (เช่นข้าวหมกไก่ที่แม่มดชอบมากๆ) เรือ Pioneer 1 ของเราก็เคลื่อนออกจากท่า แล่นเรื่อยๆไปตามสายน้ำยามสงบของแม่น้ำไนล์ เราจะกลับมาชมเมือง Luxor กันใหม่ในวันหลังค่ะ วันที่ 2 ของการเดินทางเป็นวันสบายๆ ลูกทัวร์หลายคนนอนอาบแดดหรือว่ายน้ำอยู่ในสระเล็กๆบนดาดฟ้า เรือล่องแม่น้ำลำไม่โตนะคะ สูงแค่ 3-5 ชั้นเท่านั้น แต่ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกเพียงพอที่จะทำให้วันเวลาของคนขี้เบื่อเพลิดเพลินไปได้ แม่มดน่ะชอบมากเลย อ่านหนังสือพลาง เฝ้ามองชีวิตของชาวบ้านริมน้ำไปพลาง แค่นี้ก็เป็นสุขเหลือเกินแล้ว ส่วนลูกชายเป็นประเภท workaholic ค่ะ เขาขนเอกสารกองโตในงานการเมืองของโรงเรียนที่เขารับผิดชอบอยู่มานั่งสะสางด้วย แต่ดูเขาก็เป็นสุขดีนะคะ
บนฝั่งแม่น้ำไนล์นี่มีโบราณสถานจากอารยธรรมยุคโบราณให้ชมมากมาย แม่มดจะพยายามเล่าให้ย่นย่อที่สุดนะคะ กลัวเพื่อนๆจะหลับค่ะ (แถมยังเสียบุคลิกบล็อกไร้สาระของแม่มดอีกด้วยซิคะ แย่เลย)
ก่อนจะถึงเวลาอาหารกลางวัน เรือก็เข้าเทียบท่าให้เราไปชม Temple of Horus ที่เมือง Edfu ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่าง Luxor กับ Aswan จากตำนานของประเทศอียิปต์ วิหารแห่งนี้มีความสำคัญมากมาย เพราะ ณ ที่นี้ เทพเจ้าฮอรัส (ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปเหยี่ยว) ได้ต่อสู้และสังหาร Seth พระปิตุลาที่ได้ปลงพระชนม์เทพ Osiris พระบิดาของพระองค์เป็นการแก้แค้น
วิหารแห่งเทพฮอรัสได้รับการก่อสร้างขึ้นในยุคที่กรีกครอบครองอียิปต์ (Ptolemaic Period) โดยกษัตริย์ Ptolemy ที่ 3 ในปี 237 ก่อนคริสตกาล แต่มาเสร็จสิ้นเอาในยุคของกษัตริย์ Neos Dionysus ซึ่งครองราชย์ระหว่าง 80-51 BC เป็นวิหารที่ยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์มากเพราะธรรมชาติช่วยรักษาไว้ คือบริเวณนี้ทั้งหมดได้ถูกกลบฝังอยู่ในทรายและโคลนตมเป็นเวลาเกือบ 2000 ปี ประวัตินี้คล้ายๆกับเมืองปอมเปอิของอิตาลีนะคะ
ชาวเยอรมันบอกว่าในโชคร้าย มักจะมีโชคดีแทรกตัวอยู่ด้วยอย่างเงียบๆ ดูดีๆจะหาได้ คงจะเป็นอย่างนี้นี่เอง
ตอนบ่ายแก่ๆของทุกวัน บนดาดฟ้าเรือ มีการเสิร์ฟน้ำชากาแฟกับขนมอบประเภทเค้ก คุกกี้อะไรทำนองนั้น วันนี้พอขนมตกถึงท้อง หนังตาของแม่มดไม่มีโอกาสหย่อนเพราะเรือของเราแล่นมาถึง Kom Ombo เมืองเล็กๆริมฝั่งน้ำที่มีฉากหลังเป็นไร่อ้อยและไร่ข้าวโพดเขียวขจี
ริมฝั่งแม่น้ำไนล์เป็นบริเวณเดียวของอียิปต์ที่มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์เพราะพื้นที่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของประเทศนี้เป็นทะเลทราย อียิปต์จึงเป็นประหนึ่งของขวัญจากแม่น้ำไนล์อย่างที่นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก Herodotus เขาว่าไว้ไงคะ เป็นเวลาหลายพันปีที่แม่น้ำไนล์ไหลบ่าท่วมดินแดนที่อยู่ริมฝั่งและทิ้งโคลนตมที่เต็มไปด้วยธาตุอาหารอันทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์ไว้เบื้องหลัง พอน้ำลด ชาวอียิปต์ก็จะลงมือลงแรงทำการเพาะปลูกด้วยวิถีธรรมชาติแบบที่พวกเขาเคยทำมาเนิ่นนาน จนกระทั่งมีการก่อสร้างเขื่อนใหญ่ที่ Aswan ในช่วงปี 1960s เขื่อนใหญ่ทำให้น้ำหยุดท่วม ทำให้มีไฟฟ้าใช้ แต่ก็ทำให้เกษตกรชาวอียิปต์ต้องหันมาพึ่งปุ๋ยที่เป็นสารเคมี ไม่มีการได้ที่ไม่มีการเสีย ทุกอย่างมีราคาของมันค่ะ
ที่ Kom Ombo นี่เราได้ชมวิหารศิลปะกรีกผสมโรมันที่สง่างามอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง Temple of Horus and Sobek ได้รับการก่อสร้างบนตำแหน่งที่อยู่เหนือแม่น้ำไนล์อย่างงดงาม วิหารแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นวิหารคู่ ด้วยด้านซ้ายเป็นสถานที่สักการะ Horus องค์เทพที่มีเรือนกายเป็นชายหนุ่มแต่มีเศียรเป็นเหยี่ยว แม่มดเพิ่งเล่าเรื่องเทพองค์นี้เมื่อเราไปเที่ยว Edfu เพื่อนๆยังจำได้ ใช่ไหมคะ ส่วนด้านขวานั้นเป็นสถานที่สักการะ Sobek เทพแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ที่มีเรือนกายเป็นจระเข้ วิหารแห่ง Kom Ombo ได้รับการก่อสร้างเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาลโดยกษัตริย์เชื้อสายกรีก Philometer แห่งราชวงศ์ Pletolemy แต่มาเสร็จสมบูรณ์ราวๆปี 30 BC ในยุคของ Emperor Augustus แห่งอาณาจักรโรมัน
เราต้องทานอาหารเย็นเร็วขึ้นนิดนึงเพราะมีกำหนดการที่จะเข้าชม Temple of Horus and Sobek ตอนเข้าใต้เข้าไฟ เวลาระหว่างตะวันและจันทราเป็นเวลาที่วิหารแห่งนี้งดงามที่สุด ตำราที่แม่มดอ่านมาเขาว่าอย่างนั้น
คืนนี้ เรานอนชมจันทร์เสี้ยวที่ Kom ombo และก่อนที่แม่มดจะหลับใหล Pioneer 1 ก็ถอนสมอ เคลื่อนลำต่อไปในทิศทางของ Aswan
Johann Pachelbel - Canon in D Major - London Symphony Orchestra |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |