ทางรอด "ค้าปลีกไทย" โอกาสใหม่ของการเติบโตอย่างยั่งยืน

• ในปี 2561 ประเทศไทยมีร้านค้าโชห่วย 438,820 ร้าน
• ส่วนปี 2562 “เพิ่มขึ้น” เป็น 443,123 ร้าน
• เมื่อเทียบ “ส่วนแบ่ง” ระหว่างร้านโชห่วย ร้านสะดวกซื้อ และไฮเปอร์มาร์เก็ต จะพบว่า ร้านโชห่วยมีสัดส่วนสูงสุดที่ 44.1% ตามด้วยร้านสะดวกซื้อ 31.8% และไฮเปอร์มาร์เก็ต น้อยสุดที่ 24.1%  

     ในท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันอย่างเข้มข้นของเหล่าร้านค้า ทั้งร้านโชห่วย ร้านสะดวกซื้อ และไฮเปอร์มาร์เก็ต ทุกคนล้วนต้องขยับตัวเพื่อตอบโจทย์และเอาชนะใจผู้บริโภคให้ได้   ส่วนข้อมูล ปี 2563 ต้องมาลุ้นกันอีกครั้ง การเติบโตของโชห่วยไทย จะเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เพราะช่วงระยะเวลาดังกล่าว ภาครัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นการจับจ่าย (ใช้เงิน) ของประชาชนในประเทศ และตอบโจทย์เพิ่มจำนวนการจับจ่ายในกลุ่มร้านค้า หาบเร่ และโชห่วย  ก็คือ  นโยบายบัตรประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ได้รับการตอบรับจากประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์เป็นอย่างดี  จึงเป็นปัจจัยมองบวกว่า  ในปี 2563 นั้น การเติบโตของร้านโชห่วยทั่วประเทศจะมากกว่าปี 2562 อย่างแน่นอน

    แต่ก็มีข่าวใหญ่ เขย่าวงการค้าปลีกไทย ช่วงต้นปี 2563 สืบเนื่องจากบริษัทแม่เทสโก้ โลตัส รับภาระวิกฤติค้าปลีกทั่วโลกไม่ไหว สาเหตุใหญ่มาจากโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจสะเทือนทั่วโลก  จึงเปิดประมูลดีลเทสโก้ โลตัส สาขาประเทศไทย และ มาเลเซีย  ทำให้ดีลนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของไทย เช่น กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่ม BJC และกลุ่มซีพี  เป็นต้น 

    ด้วยราคาดีลปิดสูงสุดเกือบสามแสนล้าน  ทำให้ซีพีชนะดีลเทสโก้ โลตัส สาขาประเทศไทย และ มาเลเซีย  ถือว่า เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ สามารถดึงลูกอย่าง ‘เทสโก้ โลตัส’ กลับมาสู่อ้อมอก สมความตั้งใจ  เพราะ “ความจริงเทสโก้ โลตัสเป็นลูก ตอนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ผมขายไป ฝากให้คนอื่นเลี้ยง ในครั้งนี้เจ้าของที่เคยเลี้ยงลูกผมจะขายลูกกลับคืนมา ผมก็ต้องซื้อ แต่ผมจะซื้อต่อเมื่อต้องเป็นประโยชน์ ถ้าซื้อแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ซื้อ​“

   สำหรับการดึงเทสโก้ โลตัส กลับมานั้น  มีเสียงวิจารณ์ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย  จากมุมมองที่หลากหลาย  อย่างเช่น มุมมอง NGOs กังวลเรื่องการมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากเกินไป  ส่งผลให้ผู้ค้าในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกไม่สามารถที่จะแข่งขันกับซีพี และประชาชนจะไม่มีทางเลือกการซื้อสินค้าที่หลากหลายได้ต่อไปในอนาคต  ทำให้รายได้เพิ่มมากขึ้นแก่ซีพีเพียงผู้เดียว   แต่กลุ่มนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านค้าปลีก  กลับมองบวก และคู่ค้าธุรกิจซีพี ไม่ติดใจการควบรวมเทสโก้ โลตัส มองเป็นผลดีช่วยขยายตลาดมากขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสแก่เอสเอ็มอีในการขยายตลาด  เพราะซีพีมีช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และขอให้ซีพีสนับสนุนเอสเอ็มอีแบบนี้ต่อไป    https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2445814  

     และนี่ก็คือ มุมมองต่อการกลับมาของเทสโก้ โลตัส ในครั้งนี้  ที่จะสร้างโอกาสอันดีแก่กลุ่มเอสเอ็มอี และสินค้าเกษตรไทย  เติบโตไปไกลระดับโลกได้อีกช่องทางหนึ่ง

----------------------------------------------------