ออกอาการ "แดกดัน" อยากจะให้แกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายคนไทยรักชาติให้ลองไปชุมนุมนอนตากน้ำค้างตามแนวชายแดนดูบ้าง จะได้รับรู้ความรู้สึกของทหารหาญที่ตรึงอยู่ตามแนวชายแดนไทย-เขมร
นั่นแสดงว่า ผบ.ทบ.ประยุทธ์น่าจะคุมสติคุมสถานการณ์แบบ "เอาอยู่" จึงไม่ได้วิตกทุกข์ร้อนกับสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-เขมรมากนัก
งวดนี้กองทัพไทยฉลาดพอใช้วิธีสงบปากสงบคำ มิหนำซ้ำได้ฟัง ผบ.ทบ.ประยุทธ์ที่ยังมีอารมณ์ขันแดกดันใครต่อใครก็ค่อยเบาใจว่างวดนี้ทหารไทยไม่ได้ใจเสาะ เพียงแต่ไม่ได้คุยโวดังเช่นสงครามหลายๆ ครั้งในอดีต ที่แพ้แม้กระทั่งประเทศเล็กกว่าอย่างประเทศลาวแต่คุยเสียงดัง
ซึ่งแว่วๆ มาว่ายุทธการนี้ทหารเขมร "ตาย" มากกว่าทหารไทยหลายเท่า รวมทั้ง "วัดเจ้าปัญหา" ยังโดนยิงถล่มพังพาบไป ท่ามกลางความ "สะใจ" ลึกๆ ของบรรดาเหล่าพลพรรคกระหายสงครามที่จิบไวน์เย้วๆ กันในห้องแอร์ และปักหลักค้างแรมกลางถนนเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่
แม้ว่าจะเป็นอารมณ์ขันขั้น "ตลกร้าย" ของ ผบ.ทบ.ประยุทธ์ แต่คิดไปคิดมาว่าถ้ามันกลายเป็นจริงได้ก็น่าจะเป็นผลดีกับการ "ยกระดับ" การชุมนุมของเหล่าพันธมิตรฯ และเครือข่ายคนไทยฯ" ให้ได้กระแสชาตินิยมแบบเหลืองจัดๆ ก่อนจะหมดแรงไปเสียก่อน เพราะจัดชุมนุมแบบไม่ชนะไม่เลิกปักหลักค้างแรมมาร่วม 10 วันแล้วยังไปไม่ถึงไหน แม้ว่าจะทำท่าทำทางขู่จะ "ยกระดับ" ให้ใหญ่โตไปกว่านี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่รู้มาจากสาเหตุอันใดยังยก "ระดับ" ไม่ไปไหนพ้นสะพานแถวๆ นั้น
ผบ.ทบ.ประยุทธ์เป็น "คนจริงจัง" คำไหนคำนั้นไม่น่าจะใช่แค่คำพูด "แดกดัน" แต่น่าจะออกมาจากส่วนลึกก้นบึ้งอัน "จริงใจ" ของชายชาติทหารที่ขึ้นชื่ออาจจะเป็นจอมพลสฤษดิ์กลับชาติมาเกิด เพราะว่าอารมณ์ร้อนมากๆ แต่คราวนี้อารมณ์เย็นออกมุกน่าสงสัย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหลังจากได้สั่งให้ทหารได้ยืดเส้นยืดสายยิงกระสุนปืนใหญ่ออกไปบ้าง เพื่อไม่ให้ขึ้นสนิมคากล้องยิงไม่ออกจากลำกล้อง
แกนนำพันธมิตรฯ กับแกนนำเครือข่ายคนไทยฯ น่าจะสมานฉันท์ "สามัคคีสีเหลือง" กันให้ได้ก่อน เพื่อจะทำให้ "นายกรัฐมนตรีของเรา" รู้สึกฝันร้ายเกรงกลัวหัวหดมากกว่านี้ เพราะลำพัง "สีเหลือง" กันเองยังแยกกันชุมนุม แล้วจะไป "ยกระดับ "ให้" นายกรัฐมนตรีของเรา "ทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อได้อย่างไร
แล้วลองทำตามข้อเสนอแนะของ ผบ.ทบ.ประยุทธ์ให้ไปชุมนุมตามแนวชายแดนเขมร แทนการมาชุมนุมบนถนนในกรุงเทพฯ ที่มีแต่เสียงก่นด่าจาก "ชนชั้นกลาง" ในเมืองหลวง ที่ไม่ได้แยแสว่าเกิดอะไรขึ้นตามแนวรบชายแดนตะวันออกเพราะไม่ได้กระทบโดยตรง
เชื่อเถอะจะได้ใจพี่น้อง "ไทยอพยพ" นับพันคนที่เดือดร้อน หลบกระสุนเขมรหัวซุกหัวซุนแทบไม่แตกต่างจาก "ค่ายเขมรอพยพ" เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ถือเป็นการ "ยกระดับ" การชุมนุมที่น่าจะได้มรรคผลกว่าการไปล้อมทำเนียบรัฐบาล หรือล้อมบ้าน "นายกรัฐมนตรีของเรา" บริเวณถนนสุขุมวิท ที่ทำไปทำมาจะไม่เหลือแนวร่วม "ชนชั้นกลาง" ในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนไปด้วยกับการเสียดินแดน 4.6 กิโลเมตร ที่พันธมิตรกล่าวอ้างว่ามาจากสาเหตุรัฐบาลไทยไปลงนาม MOU ปี 2543
พวกเรา "คนไทย" อย่าเพิ่งไปด่าว่า "พันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยฯ" ที่คล้อยตามข้อเสนอของ "มหาห้าขัน" ผู้สงบสมถะสันติวิธี ข้อเรียกร้องให้ใช้วิธีประกาศแสนยานุภาพขับเครื่องบินทิ้งระเบิดโชว์ตามแนวชายแดนเพื่อ "ข่มขวัญ" ให้ "ฮุน เซนเฮงซวย" อาจจะได้ผลทำให้เกิดความกลัวหัวหดเข้าไปในกระดอง คืนปราสาทพระวิหารให้ไทยอย่างไม่มีเงื่อนไขก็เป็นได้ใครจะไปคาดการณ์ได้

แต่ช้าก่อน....คนไทยจะต้องเริ่มต้นจาก "สามัคคีสีเหลือง-แดง-น้ำเงิน-คนไม่มีสี" กันให้ได้ก่อน เพราะประวัติศาสตร์สอนให้พวกเราคนไทยรู้ว่า เมื่อใดก็ตามคนไทยแตกความสามัคคี ทัพเขมรจากแนวรบตะวันออกมักจะรุกล้ำเข้ามาดินแดนไทย กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยเพื่อ "เรียกค่าไถ่" แทบทุกครั้ง ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันนักกับสันดานฮุน เซนที่มักจะสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองได้เปรียบก่อนแล้วค่อยยกทัพไปสู้รบ
การทำสงครามสู้รบกับเขมรทุกๆ ครั้ง บทเรียนประวัติศาสตร์สอนไว้ว่ายามใดคนไทยสามัคคีกัน "เขมร" จะหัวหดไม่กล้ายกทัพมารังแกชาวบ้านตามแนวชายแดนฝั่งตะวันออก
ครั้งนี้จึงน่าจะทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้อง "ยกระดับ" ขอเพียงแค่ "คนไทย" ทุกสี "กระชับพื้นที่" หันหน้ามาคุยกัน เก็บเงื่อนไขของแต่ละฝ่ายกองไว้ "ข้างหลัง" ก่อน อย่าเพิ่งเอามาชูข่มขู่ขืนใจให้ทำตาม
เพราะเอาเข้าจริงแล้วศัตรูแท้จริงตัวจริงเสียงจริงของพันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยฯ ไม่น่าจะใช่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ที่ชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่น่าจะเป็นแค่ "ผัวเมีย" บ้านเดียวกันทะเลาะ ไม่ได้สิ่งของตามร้องขอกัน อย่างมากก็หย่าหรือแยกบ้านแยกเตียงนอนชั่วคราว แต่หนีไม่พ้นกันหรอกยังอยู่บ้านเดียวกันเป็นคนไทยด้วยกัน เข้าอีหรอบภาษิตของนักการเมืองไทย "การเมืองไม่มีศัตรูถาวร" (มีแต่ "ผลประโยชน์" มาก่อนแฮะๆๆ)
แต่สำหรับ "ฮุน เซนเฮงซวย" ที่เมื่อหลายคืนก่อนยังขอหอมแก้ม "นายกรัฐมนตรีของเรา" หลายฟอดขอคืนดีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากแอบ "หลงผิด" ไปคบหาสมาคมกับ "คนหน้าเหลี่ยม" ที่มีหลายเหลี่ยมแม้กระทั่ง "ฮุน เซนเฮงซวย" ยังต้องบอกเลิกศาลาไม่คบหาด้วย เอา "บ้านพักตัวเอง" ที่เคยยกให้เป็นบ้านพักคนหน้าเหลี่ยมกลับคืนมา ผู้นำประเทศนี้อ่านตามประวัติศาสตร์ขึ้นชื่อมานานแล้วว่า มักเป็นพวก "เหลี่ยมจัด" จับไม่ได้ไล่ไม่ทันประเภท Catch Me if You Can
ดังนั้นจึงไม่เห็นประโยชน์อันใดกับการ "ยกระดับ" ของแกนนำพันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยฯ ไปบีบคั้นล้อมทำเนียบนายกรัฐมนตรีของเรา ควรจะเอาพลังอันแกร่งกล้านี้รวมกันแล้วไปต่อกรกับผู้นำประเทศเขมรมิดีกว่าหรือ
ขั้นแรกอยากเห็น "สามัคคีสีเหลือง" อันประกอบด้วยพันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยให้เป็น "ไม้ไผ่กอเดียว" ยากจะถูกหักได้ง่ายๆ
แล้ว "ยกระดับ" ไปชุมนุมกันตามแนวชายแดนจังหวัดสุรินทร์-สระแก้ว หรืออย่างน้อยที่สุด ถ้าสถานการณ์ยังอันตรายเกินไปก็ใช้สื่อทีวีดาวเทียมที่มีอยู่กัน 3 ช่อง ที่มีคนดู 24 ชั่วโมงหลายล้านคน "ระดม" ขอรับบริจาคข้าวของเครื่องใช้เอาไปช่วยเหลือ "ไทยอพยพ" ให้หายข้องใจว่าเหตุไฉนพวกเราจึงต้องอพยพจากถิ่นฐานที่อยู่กันมานานอย่างสงบสุขตามแนวชายแดน ที่ไม่ได้สนใจหลักปักเขตแดนจะไปอยู่ตรงไหน
เรื่องสำคัญที่สุดก็เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจกันก่อนว่า พันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยฯ ไม่ได้เป็น "ต้นเหตุ" ทำให้ชาวบ้านแถบนั้นเดือดร้อนจากการยิงกระสุนปืนใหญ่จากทหารเขมร แต่มาจาก "สันดานดิบ" ของผู้นำเขมรเองที่เล่นเล่ห์เล่นเหลี่ยมตามนิสัยนักรบกลางป่า ซึ่ง "นายกรัฐมนตรีของเรา" อดีตนักเรียนออกซ์ฟอร์ดอังกฤษที่ยังรักษาความเป็น "ผู้ดี" มากเกินไป จนเกินกว่าจะไปต่อกรด้วยภาษาหยาบคายได้
แม้ว่าจะได้รัฐมนตรีต่างประเทศ "กษิต ภิรมย์" ที่มี "วาจาเป็นอาวุธ" กระด้างไม่แพ้ผู้นำเขมรก็ยัง "เอาไม่อยู่" ลองกลับไปสังเกตว่าแทบทุกครั้งที่รัฐมนตรีกษิต (อดีตขวัญใจเสื้อเหลือง) เดินทางไปเจรจาต้าอวยกับก๊กเหล่าฮุน เซนในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ต้องคำสาปด้วยมนต์เขมร มักจะมีอันเป็นไปต้องเผ่นแน่บกลับประเทศเราแทบไม่ทันทุกครั้ง หรือแทบไม่เคยค้างคืนเขมรเลย เพราะมักจะเกิดปรากฏการณ์สาดน้ำ "ยิงปืนไล่หลัง" วิ่งเตลิดกลับมาแทบไม่ทันทุกครั้ง

ยังสงสัยอยู่เลยว่า "นายกรัฐมนตรีผู้ดีอังกฤษของเรา" ทำไมไม่ได้สังเกตหรือว่าเหล่าก๊กฮุน เซนยังไม่หายแค้นรัฐมนตรีกษิตที่ไปด่า "ฮุน เซนผู้นำกุ๊ย" ส่งไปเมื่อไหร่ไม่เคยได้ผลงานกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน แต่มักได้กระสุนระเบิดยิงไล่หลังทุกครั้ง
ผิดกับนักการเมืองพ่อลูกอ่อนหนุ่มใหญ่สูงยาวเข่าดีอย่าง "องอาจ คล้ามไพบูลย์" ที่ไม่เคยไปใช้วาจาสามหาวกับใคร ส่งไปเชื่อมสันถวไมตรีสำเร็จไประดับหนึ่งจนเกิดคอนเสิร์ตมิตรภาพไทย-กัมพูชาไปแล้ว และผู้นำกุ๊ยก็กลายเป็น "ผู้นำปากหวาน" แทบจะขอจูบปากกับ "นายกรัฐมนตรีของเรา" เมื่อคราวไปเยือนเมื่อเดือนก่อนเอง
"นายกรัฐมนตรีของเรา" น่าจะเรียนรู้สักทีกับการเลือกใช้คนให้เหมาะกับงาน เพราะหลายครั้งงานเสียอันเกิดจากการใช้คนผิด ดังเช่นจู่ๆ "วอลล์เปเปอร์" ก็เจ้ากี้เจ้าการเอาชาวบ้านจากโนนหมากมุ่นมาทำเนียบแล้ว "หักมุม" ข้อมูลบ่อน้ำไม่ได้อยู่ในเขตประเทศไทยเสียงั้น แม้ว่าข้อเท็จจริงอาจจะใช่ก็ได้แต่ทำไมจะต้องทำอย่างนี้ ไม่รู้จะพูดว่าไงแค่จะเอาชนะ "ข้อมูล" ของพันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยฯ
"คนของนายกรัฐมนตรีของเรา" ทำไมมันช่างบื้อแท้ๆ หาเรื่องปวดหัวให้นายตัวเองไม่เว้นแต่ละวันแต่ละคน
เช่นเดียวกับอดีตเลขาฯ รัฐมนตรีกษิต หนุ่มผู้ดีอีกคนที่ดันโทรศัพท์หา "นายกรัฐมนตรีของเรา" ว่ารู้กันแค่สองคน "นะตัวเอง" ว่ากำลังจะเข้าไปในเขตพื้นที่เขมร ในขณะที่วีรบุรุษเครือข่ายคนไทยฯ "วีระ สมความคิด" ตั้งท่าถ่ายวีดิโอเก็บไว้เป็นหลักฐานที่ดันไปตกอยู่ในมือเขมรที่ลูบปากหวานคอแร้ง รีบตัดคลิปประโยคเด็ด "รู้กันสองคนนะตัวเอง" ปล่อยขึ้น Youtube ที่ทำเอา "นายกรัฐมนตรีของเรา" ออกอาการเหวอไปไม่เป็น บอกได้แค่ "เขมรมันตัดต่อคลิป" 555
ในนามคนชอบ "คิดใหม่(เฉพาะ)วันอาทิตย์" จึงขอเรียกร้องให้สนธิ ลิ้มทองกุล, จำลอง ศรีเมือง, ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, สมบูรณ์ ทองบุราณ, ไพศาล พืชมงคล ฯลฯ (ขออภัยที่พื้นที่กระดาษมีจำกัดไม่สามารถเอ่ยนามผู้ใหญ่ๆ ได้หมด) สร้างความเป็นเอกภาพแนวร่วม "สามัคคีสีเหลือง" ก่อนเป็นอันดับแรก โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาฝืนปิดจมูก "จูบปาก" กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างเก่าก่อน
ขอแค่คนในชาติทุกหมู่เหล่า "แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง" สร้างพลังทวีคูณไว้ฟัดกับผู้นำกุ๊ยฮุน เซนก่อน แล้วถ้าเป็นไปได้ทำให้เกิด "สามัคคีสีเหลืองแดง" จะแรงฤทธิ์เยี่ยมยอดพลังกระเทียมดองน่าจะพอสู้กับผู้นำกุ้ยแห่งแผ่นดินต้องคำสาปได้ แล้วปล่อยวางผู้นำผู้ดีนักเรียนอังกฤษไปก่อนที่เข้า "มุมอับ" ไปไม่เป็นอยู่แล้ว นาทีนี้ช่วยกันผสมสีทุกฝ่ายจะเป็นสีอะไรก็ช่างมัน ขอแค่เอาชนะศัตรูร่วมของชาติไทยก่อน แล้วจะกลับมาฟัดกันเองก็ไม่ว่ากัน คราวนี้ผมเสียสละยอมฝันร้ายต่อก็แล้วกัน 555