ล้วนแต่ไร้เนื้อหา, ไร้อนาคตและว่างเปล่าจับต้องไม่ได้เลย จนกลายเป็นวาทกรรมเพื่อการโต้วาที เพื่อเอาชนะทางการเมืองเสียมากกว่า ทำให้ผมเริ่มกลับไปอ่านอย่างจริงจัง ว่าด้วยข้อเสนอเชิงปฏิรูปประเทศของ“นักคิด”หลายๆคนที่ไม่ได้มาจาก“นักการเมือง” พบว่าส่วนใหญ่เสนอความจำเป็นอย่างยิ่งยวดว่าจะต้อง“ปฏิรูปประเทศไทย”โดยเร็วที่สุด ทำให้วาทกรรมปฏิรูปก่อนหรือหลังเลือกตั้ง กลายเป็นแค่การโต้วาทีบน“กะพี้”ไม่ใช่“แก่นสาร”ใดๆที่ต้องไปถกเถียงให้เปลืองเวลา เริ่มต้นจากการอ่านข้อเสนอ "วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศไทย" ของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์ และออกแบบอนาคตประเทศไทย ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่ได้นำเสนอในโครงการสัมมนาสปช. รายงานประชาชนเรื่อง“เปลี่ยนประเทศไทยกับสปช.” เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา แล้วสัปดาห์ต่อมาต่อมาดร.สุวิทย์ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้ง ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถือเป็นมือทำงานคนสำคัญในทีมเศรษฐกิจใหม่ของดร.สมคิด จาตุศรพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีที่แบกความคาดหวังของคนไทยทั้งประเทศไว้ว่า จะเป็นผู้เข้ามาบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นกลับมาได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้อเสนอของดร.สุวิทย์ ที่นำเสนอสปช. สะกัดแก่นหลักๆมาจากหนังสือเล่มสำคัญของดร.สุวิทย์ที่ใช้ชื่อว่า "โลกเปลี่ยน ไทยปรับ : หลุดจากกับดัก พ้นจากชาติที่ล้มเหลว" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ปี 2556 ที่ดร.สุวิทย์บอกไว้ว่าเป็นหนังสือเล่มที่ 9 ที่ตั้งใจจะหล่อหลอมทั้ง 3 Clusters of Concept คือ แนวคิดว่าด้วยพลวัตโลก( Global Dynamics) แนวคิดว่าด้วยยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคง( Wealth Creation Strategy) และแนวคิดว่าด้วยยุทธศาสตร์ประเทศไทย( Thailand Strategy ) ขอแนะนำให้ทุกท่านที่เป็นห่วงเป็นใยอนาคตประเทศไทย ควรจะหาหนังสือเล่มนี้ไปอ่านจะได้พอมองเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ของประเทศไทย แม้ยังมีขวากหนามมากมาย รวมทั้งอ่านข้อเสนอแนวคิดในเชิงยุทธศาสตร์ประเทศไทย แบบกระชับๆ ในรูปแบบ Powerpoint ที่เข้าใจได้ไม่อยาก ดร.สุวิทย์ได้นำขึ้นไปอยู่บน Facebook/ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เผยแพร่ให้สาธารณะได้อ่านคิดตามไปว่าประเทศของเราจะเดินหน้าไปอย่างไร ตำแหน่งในเชิงยุทธศาสตร์ประเทศไทยในปัจจุบันบนเวทีโลกยังอยู่ในโลกที่ 2 กลางๆห่างไกลจากการก้าวไปสู่ประเทศโลกที่หนึ่ง ประเทศโลกที่ 1 ที่เป็นเพื่อนบ้านของเราคือสิงคโปร์และเกาหลีใต้ที่มีสังคมประชาธิปไตย การเมืองมีเสถียรภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ประเทศโลกที่ 2 ประกอบด้วยประเทศจีน,มาเลย์เซีย,อินเดีย ที่กำลังมองเห็นหนทางก้าวไปสู่ประเทศโลกที่ 1 เทียบกับประเทศที่ยังมีการเมืองค่อนมาทางแตกแยกวุ่นวาย ไร้เสถียรภาพปานกลาง ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจยังก้ำกึ่งระหว่างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพกับเปราะบาง อ่อนไหว ไร้เสถียรภาพ ประเทศโลกที่ 3 ประกอบด้วยประเทศพม่าและเวียดนามที่ยังอยู่ในสภาพการเมืองแตกแยกวุ่นวายไร้เสถียรภาพและการเมืองเปราะบาง อ่อนไหว ไร้เสถียรภาพเช่นเดียวกัน ปัญหาสำคัญที่ดร.สุวิทย์ชวนให้ขบคิด สิ่งที่ท้าทายคนไทยในศตวรรษที่ 21 อย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยอยู่ในประเทศโลกที่สองที่ยังมองไม่เห็นช่องทาง ว่าจะก้าวไปสู่ประเทศโลกที่หนึ่งได้อย่างไรในระยะเวลาอันใกล้ ประเด็นที่ 1 เราจะปรับตัวให้เข้ากับอารยธรรมของโลก ซึ่งเป็นเรื่องของ Globalization ได้อย่างไร ประเด็นที่ 2 มีภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ซึ่งดร.สุวิทย์เรียกว่าเป็นภัยคุกคามไม่ตามแบบ ในหลากมิติได้อย่างไร ประเด็นที่ 3 เรื่องของความมั่งคังทางเศรษฐกิจ เราจะปรับตัวเข้าสู่สังคมองค์ความรู้ เหมือนกับประเทศอื่นๆเป็นเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไร ประเด็นที่ 4 เราจะมีระบอบการปกครองที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นองค์ประมุชอย่างแท้จริงได้อย่างไร คำถามคือ แล้วประเทศไทยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร เราอยู่อย่างนี้ไม่ได้ สิ่งสำคัญคือการปฏิรูป เราต้องเปลี่ยนแปลง โลกเปลี่ยน แล้วเราไม่ปรับไม่ได้ ทำให้มีความจำเป็นจะต้องเกิดการปฏิรูปขนานใหญ่อย่างเป็นระบบ หากย้อนไปในอดีต เรามีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเป็นการปฏิรูปขนานใหญ่ อย่างเป็นระบบเพียงครั้งเดียวในสมัยล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 หลังจากนั้นเรากินบุญเก่า แต่ทุกวันนี้เราเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกที่มีอยู่มากมาย บวกกับแรงปะทุจากภายใน ทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้แล้ว การเผชิญกับกับดักเชิงซ้อนของความเหลื่อมล้ำ อำนาจ ความมั่งคั่ง อภิสิทธิ์ชน ทุจริตคอร์รัปชั่นกับสังคมที่ไม่ Clean & Clear, สังคมที่ไม่ Free & Fair , สังคมที่ไม่ Care & Share ทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงอย่างที่เห็นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาของพวกเรา ไม่ได้มีแค่ปัญหาภายใน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เราเป็นประเทศที่เคยเป็นประเทศที่ยากจน และพัฒนามาสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง แต่ ณ วันนี้ เราไม่สามารถที่จะก้าวขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เพราะเราติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง และเป็นประเทศที่ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยอค์ความรู้ ด้วยนวัตกรรม แต่การเผชิญกับกับดักเพีรยงอย่างเดียวมันไม่น่ากลัว เรายังเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับสิ่งที่เราเรียกว่า"ศตวรรษแห่งความว่างเปล่า" ศตวรรษแห่งความไม่มีอะไรเลยหรือ Lost Decades บนภูเขาน้ำแข็งของปัญหาของชาติ เราเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางที่มีความเหลื่อมล้ำที่ค่อนข้างสูง มีทุจริตคอรัปชั่นที่ดาษดื่น มีความขัดแย้งที่รุงแรง แต่เมื่อดูใต้น้ำแข็งจะพบว่ามีปัญหาที่แท้จริง เป็นปัญหาฐานรากมีอยู่มากมาย เรามีทุนมนุษย์ที่อ่อนด้อย มีทุนสังคมที่อ่อนแอ มีทุนธรรมชาติที่เสื่อมโทรม ดร.สุวิทย์ย้ำว่า “แต่ที่แย่ที่สุดคือเรามีทุนคุณธรรมและจริยธรรมที่เสื่อมทราม” ในการแข่งขันกับประเทศอื่นเพื่อสร้างความมั่งคั่งได้หรือไม่นั้น จบอยู่ที่"คน" คนของเรา คุณภาพต่ำลงเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น และเรายังมีโครงสร้างของคนที่เป็น Aging Society หรือสังคมสูงวัยที่น้อยประเทศจะโดนสองเด้งแบบนี้ "ถ้าเรามัวแต่ทำงานปกติแบบที่เป็นอยู่เดิม โดยที่ไมีการปฏิรูปครั้งใหญ่และอย่างต่อเนื่อง เราจะอยู่ไม่รอด นี่คือแรงปะทุจากภายใน" ความเป็นห่วงของดร.สุวิทย์มากยิ่งขึ้นไปอีกกับแรงกดดันจากภายนอก กุญแจสำคัญอยู่ที่คำว่า"การเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับประเทศอื่นได้อย่างไร" เป็นการเชื่อมโยงทั้งในเชิงกายภาพ เชื่อมโยงของผู้คน เชื่อมโยงในเชิงสถาบันหรือเชื่อมโยงในโลกเสมือน โลกได้เปลี่ยนจากความคิดที่บอกว่า One Country , One Market กลายเป็น One World, One Market โลกเป็นหนึ่งเดียวแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีทั้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ การเสนอประเด็นในเชิงยุทธศาสตร์ประเทศไทย จะอยู่อย่างไรในโลกใบใหม่นี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สัปดาห์หน้าจะนำเสนอแก่นความคิดของดร.สุวิทย์เพื่อช่วยกันหาทางออกให้ประเทศไทย แล้วเลิกทะเลาะกันปฏิรุปก่อนเลือกตั้งหรือหลังเลือกตั้ง อ่านจากข้อเขียนของดร.สุวิทย์แล้ว คำตอบของผมคือเร่งลงมือปฏิรูปที่ไม่มีทางทำสำเร็จในเร็ววัน โดยไม่ต้องสนใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องรอง
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635628#sthash.bx65R9dn.dpuf |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | กันยายน 2015 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 |