*/
<< | มีนาคม 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 |
บุคคลจะรู้จักธรรมทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่วที่เป็นปัจจุบันได้ก็ต้องอาศัยใช้ปัญญาพิจารณาดูในปัจจุบันเช่นในบัดนี้ ดูความดีความชั่วที่ตัวเองให้เห็นตามเป็นจริงไม่ใช่ไปนึกถึงอดีตไม่ใช่ไปนึกถึงอนาคตเพราะฉะนั้น จึงมีพระพุทธภาษิตแสดงว่า" อตีตํ นานฺวาคเมยฺย บุคคลไม่ควรตามถึงอดีต คือเรื่องที่ล่วงมาแล้ว,นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ไม่ควรหวังอนาคตเรื่องที่ยังมาไม่ถึง,ยทตีตมฺปหีนนฺตํ เพราะอะไรที่เป็นอดีตล่วงมาแล้ว ตนก็ละเลยมาแล้ว,อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ ส่วนที่เป็นอนาคตยังไม่มาถึง ก็ยังไม่ถึง,ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ผู้ใดดูธรรมที่เป็นปัจจุบันในที่นั้นๆ ในกาลนั้น ๆ อยู่ อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํตํ วิทฺธา มนุพฺรูหเย ผู้นั้นไม่ควรย่อหย่อนไม่ควรกำเริบ ควรขบหรือเจาะคือพิจารณาธรรมที่เป็นปัจจุบันนั้นให้เห็นตามเป็นจริงและเจริญอยู่ " ดังนี้.กระแสพระพุทธภาษิตนี้ บางท่านแสดงความหมายว่า ไม่ให้ไปนึกถึงอดีตคือเรื่องที่ล่วงมาแล้วเสียทีเดียว และไม่ให้หวังอนาคต ให้พิจารณาธรรมในปัจจุบันอย่างเดียว, แต่ถ้าเอาเนื้อความอย่างนั้นก็ขัดกันกับพระพุทธภาษิตที่แสดงถึงสติว่า" ปรเมน สติเนปกฺเกน สมนฺนาคโต จิรกตมฺปิ จิภาสิตมฺปิ สริตาอนุสฺสริตา ท่านผู้ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาอย่างยิ่ง ระลึกได้ ระลึกตามได้ถึงการที่ทำ คำที่พูด แม้ล่วงแล้วนานนี้คือ สติ " ดังนี้. สั่งสมทำให้มีให้เป็นอยู่เสมอ, มหาเถรภาษิตก็แสดงไว้ว่า " สติสพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติเป็นธรรมชาติที่ควรปรารถนาทุกเมื่อ ".ตามกระแสพระพุทธภาษิตเหล่านี้ เมื่อรวมกันเข้า ก็ควรถือเอาเนื้อความว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไม่ให้ไปมัวนึกถึงแต่เรื่องที่เป็นอดีตล่วงมาแล้วอย่างเดียว, เพราะผู้ระลึกอดีตเรื่องที่ล่วงมาแล้ว ถ้านึกถึงตอนที่ดีก็จะทำให้เกิดความยินดีเป็นราคะ,ถ้านึกถึงตอนที่ชั่ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดปฏิฆะไม่ชอบใจ หรือโทสะโกรธแค้นขัดเคือง,ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะหลงงมงายอยู่ในเรื่องที่เป็นอดีต เป็นโมหะ, ในอนาคตหรือส่วนที่เป็นอนาคต ก็ดุจเดียวกัน.ถ้าบุคคลไปหวังในอนาคต หรือหวังเรื่องที่ยังเป็นอนาคตยังมาไม่ถึง และนึกว่าเรื่องที่จะมาถึงเป็นส่วนที่ดีที่ชอบ ก็จะยินดีเป็นเหตุให้เกิดราคะ,ถ้านึกถึงเรื่องที่จะมานั้นเป็นเรื่องที่ชั่วก็ให้เกิดปฏิฆะไม่ชอบใจ จนถึงโทสะ,ถ้าไม่เช่นนั้นก็มัวไปหลงนึกถึงแต่เรื่องที่ยังไม่มาถึงอยู่ ก็ให้เกิดโมหะ,ส่วนปัจจุบันธรรม ธรรมเป็นปัจจุบัน คือราคะ โทสะ โมหะ ที่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้จักหน้า เพราะไม่ได้ดู และควรจะทำอย่างไรควรพูดอย่างไร ควรคิดอย่างไร เป็นอันทิ้งหมดไม่ทำ ไม่พูด ไม่คิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ประสบสัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริง.ต่อเมื่ออาศัยเรื่องที่เป็นอดีต คือที่ตนได้ประสบมาแล้ว และนึกถึงผลในอนาคต ประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งแล้ว อะไรที่ควรทำในปัจจุบัน ก็ทำไป
พูดไป คิดไป, บุคคลจะทำกิจที่เป็นปัจจุบันให้สำเร็จได้ ต้องอาศัยนึกถึงเรื่องที่เป็นอดีต
และปัจจุบัน ประกอบกันอยู่เสมอ เช่นเขียนหนังสือที่จะให้ถูกต้องด้วยดีได้
ก็ต้องอาศัยความรู้หนังสือที่เรียนมาแล้วประกอบกับการเขียนในปัจจุบัน, ส่วนเขียนแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของอนาคตที่จะเป็นไป,คนที่เขียนหนังสือผิดเพราะอะไร ตรวจดูจะเห็นได้ว่า เพราะมัวไปนึกถึงเรื่องที่เป็นอดีตบ้าง ไปมัวนึกถึงเรื่องที่เป็นอนาคตบ้าง, ส่วนการเขียนหนังสือที่เป็นปัจจุบันไม่ได้นึก,
เพราะฉะนั้น จึงเขียนหนังสือผิดพลาด.แม้กิจการงานอื่น ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน.คนจะทำ กิจการงาน อะไรให้สำเร็จได้ ก็ต้องนึกถึงเรื่องหรือกิจการที่เป็นอดีตอันล่วงมาแล้ว ที่ตนได้ทำไว้ ผิดก็ตามถูกก็ตาม เข้ามาประกอบ
และใช้ปัญญาพิจารณาทำในปัจจุบันส่วนผลที่จักเป็นไปในอนาคต ก็สืบต่อกันไป,ไม่ใช่ไปมัวนึกถึงอดีต และไปมัวนึกถึงอนาคตต้องนึกถึงในปัจจุบันนั่นแหละ แต่ก็ต้องประกอบกับอดีตที่เรียนมาแล้ว และผลที่จะมาในอนาคตรวมกัน เป็นปัจจุบันธรรม. คนทำกิจแม้ฝ่ายโลกซึ่งเรียกว่าคดีโลก แม้ฝ่ายธรรมซึ่งเรียกว่าคดีธรรม
จะสำเร็จได้ด้วยดี เช่นเขียนหนังสือเป็นต้น ก็ต้องพิจารณา ต้องเห็นธรรมที่เป็นปัจจุบัน คือพิจารณาดูการที่ทำคำที่พูด เรื่องที่คิดในปัจจุบันนั่นแหละ
และอาศัยอดีตเข้าประกอบ จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้ด้วยดีผู้ปฏิบัติธรรมที่เป็นปัจจุบัน ก็ต้องอาศัยอดีต คือนึกถึงคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประกาศแสดงสัจจธรรม อันตนได้เรียนมาแล้วอย่างหนึ่ง นึกถึงผลว่าจะเป็นไปในอนาคตอย่างไรอีกอย่างหนึ่ง นำเข้ามาประกอบกันแล้วพิจารณาธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่ ไม่ใช่ไปนึกถึง แต่เรื่องที่ล่วงมาแล้ว
ไม่ใช่ไปนึกหวังอนาคตอย่างเดียวธรรมต้องประกอบกัน, แต่หลักสำคัญก็อยู่ในปัจจุบัน. เพราะฉะนั้น จึงมีพระพุทธภาษิตแสดงว่า ผู้ใดที่เห็นธรรมเป็นปัจจุบันอยู่ ในที่นั้น ๆ ในเวลานั้น ๆ ที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ นั่ง นอน ยืน เดิน อย่างไรก็ได้.อนึ่ง บุคคลเมื่อนึกถึงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธะทรงแสดง อันกล่าวถึงข้อปฏิบัติหรือความปฏิบัติที่เป็นส่วนเหตุ อาจจะนึกไปว่ายาก
ตนไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ นี้ชื่อว่า สํหิรํ ย่อหย่อน ต้องไม่นึกเช่นนั้น แต่นึกว่าไม่ยากเกินไป
ตนสามารถทำได้จึงเป็น อสํหิรํ คือไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อแท้ ไม่อ่อนแอ
ตั้งใจทำ.อีกอย่างหนึ่ง มักจะปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหรือเห่อเหิมว่า ตัวรู้ดีรู้ชอบแล้ว อันหมายถึงปริยัติที่ได้เรียนมา เห็นว่าตน รู้ปริยัติมาก คนอื่นสู้ไม่ได้
หรือจะมีสู้ได้ก็น้อยคนนี้ได้ชื่อว่า สงฺกุปฺป หรือ สงฺกุปฺปํ กำเริบ ต่อเมื่อไม่กำเริบ คือไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านไปหรือเห่อเหิมอวดดี ตั้งใจพิจารณาของธรรมที่เป็นปัจจุบันเพื่อให้รู้จริงเห็นจริง และเจริญอยู่เสมอเช่นนี้ จึงให้สำเร็จประโยชน์ได้ธรรม เป็นปัจจุบันมีเสมอไปขาดแม้ในเวลานี้เอง ความนึกคิดซึ่งเป็นธรรมอย่างหนึ่งก็มีอยู่ ความรู้ธรรมก็มีอยู่ ความนึกคิดก็ต้องมีอารมณ์เป็นที่นึกที่คิดอารมณ์เข้ามาประกอบกับความคิดความคิดประกอบกับอารมณ์
จึงมีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้น คิดดีก็เป็นกุศล คิดชั่วก็เป็นอกุศล
นี้เป็นปัจจุบันธรรม ธรรมที่เป็นปัจจุบัน.แต่ถึงเช่นนั้น ถ้าบุคคลไม่พิจารณา ไม่ขบไม่เจาะ ให้รู้จักว่านี่เป็นธรรมที่เป็นปัจจุบัน ไปอยู่กับอารมณ์ที่นึกคิดทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่ว ปัจจุบันธรรมแม้มีอยู่ในตัวก็ไม่เห็นไม่รู้ร่างกายคือรูปกายของคนทุก ๆ คน มีความเกิดในเบื้องต้น แปรปรวนไปโดยลำดับในที่สุดก็สลาย เมื่อบุคคลฟังจำคิดได้เช่นนี้ แล้วส่วนใจไปอยู่ด้วยดี นึกถึง ความเกิด นึกถึงความแก่ นึกถึงความเจ็บ นึกถึงความตายอยู่
ก็เป็นเหตุให้ทำใจให้สังเวชสลดได้และเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำดีทำชอบ อันยังไม่ได้ทำ และให้ทำดีทำชอบที่ทำแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น ป้องกันความชั่วความผิดที่บังไม่ได้ทำ ละความชั่วความผิดที่ทำแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่เห็นปัจจุบันธรรม ธรรมที่เป็นปัจจุบันต่อเมื่อพิจารณาเห็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย รวมอยู่ที่กายนี้ทั้งหมดหรือกายนี้ประกอบกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย รวมกันอยู่ในปัจจุบัน จนปรากฏว่าผู้รู้กายนี้เป็นส่วน ๑ กายที่ประกอบด้วยเกิดแก่เจ็บตายเป็นส่วน ๑จึงควรกล่าวว่าเห็นปัจจุบันธรรมและต้องดูธรรมที่เป็นปัจจุบันในที่นั้น ๆ เช่นใน เวลานี้เป็นต้นในชั้นต้นย่อมรู้อารมณ์ที่เข้ามาประสบ เมื่อตรวจดูต่อไปอีก ก็จะเห็นว่าอารมณ์ที่ประสบมาก็เพราะความคิดนึก ดูความคิดนึกถึงอารมณ์นั้นในปัจจุบันเมื่อดูอารมณ์ดูความคิดนึกที่เป็นปัจจุบันธรรม ที่เป็นปัจจุบัน คืออารมณ์และความนึกคิดก็จะสงบ ในตอนท้ายหรือตอนที่ละเอียด ก็จะเห็นธาตุรู้หรือความรู้ที่มีอยู่ ผู้พิจารณาดู ก็เป็นผู้รู้อยู่แม้ในครู่หนึ่งกับขณะหนึ่ง ก็เป็นผู้รู้อยู่ขณะหนึ่ง ๆรู้อยู่กับรู้เช่นนี้ ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต มีแต่ ปัจจุบัน หรือจะเรียกว่า ไม่มีก็ได้เพราะรู้อยู่เท่านั้น อดีตอนาคตปัจจุบันไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้น คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่พระองค์ได้ทรงกล่าวดีแล้วเมื่อบุคคลนำเข้ามาในตนมาประพฤติปฏิบัติดูจนเห็นตามเป็นจริงธรรมก็ได้ชื่อว่าเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลคือไม่มีเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็นไม่มีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายและผู้รู้ ก็เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลเมื่อไม่มีกาล ก็ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายส่วนร่างกายที่ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
ก็เป็นไปตามเรื่องของสังขาร.พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านแสดงว่าเป็นผู้ไม่ตาย ตลอดถึงเป็นผู้ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บก็เพราะทรงรู้ปัจจุบันธรรม หรือรู้อยู่กับรู้นั่นเองเพราะฉะนั้น จึงมีพระพุทธภาษิตแสดงว่า " ปจฺจุปฺนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ผู้ใดดูปัจจุบันธรรม
เห็นอยู่ในที่นั้น ๆในกาลนั้น ๆ คือไม่เลือกที่ ไม่เลือกกาล อสํหิรํ ไม่ย่อหย่อน คือไม่ท้อแท้ อสงฺกุปฺปํ ไม่กำเริบ คือไม่ฟุ้งซ่านหรือไม่อวดดี ตํวิทฺธามนุพฺรูหเย
พึงขบหรือเจาะ คือพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง แล้วเจริญอยู่นี่ ได้ชื่อว่า
" ภทฺเทกรตฺต " เป็นผู้มีราตรีอันเจริญคือเห็นตามเป็นจริงแล้วเจริญอยู่เสมอ. " ผู้พิจารณาดู แม้ยังไม่เห็น เพียงแต่คาดคะเนสันนิษฐาน ก็จะเห็นได้ว่า
ย่อมผ่องใสเป็นสุขอยู่กับปัจจุบันธรรม หรือเห็นปัจจุบันธรรมอยู่ ความแก่
ความเจ็บความตาย ตลอดถึงความเกิดก็ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้รู้ได้. แต่ถ้าเป็นผู้ไม่รู้หรือรู้ผิดจากความจริงไปความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตลอดถึงความเกิด ก็ย่อมเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องทำให้บุคคลนั้น ต้องเป็นผู้แก่ เป็นผู้เจ็บ เป็นผู้ตาย เป็นผู้เกิดนี้เป็นธรรมที่ละเอียด ผู้ไม่ในใจอาจไม่เข้าใจเนื้อความไม่เห็นเนื้อความได้แต่ถ้าผู้สนใจพิจารณาดู แม้ไม่รู้จริงเห็นจริงก็จะพอเห็นทางได้การปฏิบัติเช่นนั้นเป็นไปเพื่อ วิวัฏฏะ คือความไม่หมุนไม่เวียนตรงข้ามกับ วัฏฏะ คือต้องหมุนเวียนตามธรรมดาคนเราย่อมหมุนเวียนกันอยู่เหมือนดังคนวิ่งแข่งกันไป หนักเข้าคนหน้าก็อาจจะมาอยู่ข้างหลังของคนหลังได้เวียนกันไปอยู่เช่นนี้ไม่รู้จักจบ จนตายแล้วเกิดใหม่ก็วิ่งวนเวียนกันไปแต่ว่าแยกออกได้ คือวนเวียนไปทางชั่วที่ให้เกิดทุกข์โทษแก่ตัวและแก่ผู้อื่นส่วนหนึ่งเวียนไปทางที่ดีให้เกิดสุขประโยชน์แก่ตนและแก่บุคคลอื่นอีกส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่วิวัฏฏะคือปราศจากหมุนเวียน,
ต่อเมื่อพิจารณาธรรมที่เป็นปัจจุบัน เจาะแทงหรือขบให้เห็นตามเป็นจริง แม้ชั่วครู่เดียวหรือชั่วอึดใจเดียว นั่นเป็นไปเพื่อวิวัฏฏะคือไม่หมุนไม่เวียนเป็นบุญเป็นกุศลอย่างสูง แม้บุคคลจะมีจิตยินดีอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ตาม แต่ถ้าได้กำหนดปัจจุบันธรรมให้เห็นตามเป็นจริงแล้ว ภพที่เป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็จะเจริญยิ่งขึ้นไม่มีเสื่อมลง มีแต่คงที่หรือเจริญยิ่งขึ้นไปได้กว่าจะถึงที่สุด เกิด แก่ เจ็บ ตายไม่มีใครต้องการ ต้องการแต่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ
ไม่ตาย แต่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็ต้องอาศัยรู้ เพราะพิจารณาเห็นปัจจุบันธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อว่าเป็นอมตะ ผู้ไม่ตาย ก็เพราะทรงรู้เห็นธรรมที่เป็นปัจจุบันผู้รู้อยู่เช่นนั้น แม้จะทำจะพูด จะคิดกิจการอะไร ก็ไม่ทำให้เสียความรู้ที่รู้แล้วนั้นไปเหมือนดังคนที่รู้ว่าไฟร้อน เห็นไฟหรือนึกถึงไฟเมื่อไรก็รู้ว่าร้อนอยู่เสมอเพราะฉะนั้น การฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าพระพุทธศาสนาอันประกาศแสดงสัจจธรรมจึงเป็นบุญในชั้นต้น, เมื่อพิจารณาเนื้อความให้เข้าใจก็เป็นบุญในชั้นที่สอง เมื่อปฏิบัติตามไปด้วย กาย
ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เป็นบุญชั้นที่สามจนถึงรู้แจ้งเห็นจริง รู้จักปัจจุบันธรรม ธรรมเป็นจริงเช่นนี้การปฏิบัติจึงเป็นไปด้วยดี ทำชีวิตที่เกิดมาไม่ให้เป็นชีวิตชั่วไม่ให้เป็นชีวิตเปล่า แต่ให้เป็นชีวิตดี( วชิร. ๗๐-๗๗ ).
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |