*/
<< | กันยายน 2015 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 |
ศัพท์ว่า ปฏิจจสมุปบาท: ปฏิจจ แปลว่า อาศัย อุปปาทะแปลว่า เกิดขึ้น สํ บวก อุปปาทะแปลว่า เกิดขึ้นพร้อม
รวมเป็นปฏิจจสมุปบาท อาศัยเกิดขึ้นพร้อมกันหมายความว่าอาศัยกัน คือ
อาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น จึงเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เช่น สังขารเกิดเพราะอาศัยอวิชชา วิญญาณเกิดเพราะอาศัยสังขาร นามรูปเกิดเพราะอาศัยวิญญาณ เป็นลำดับไป พระอาจารย์แต่ปางก่อน แสดงไว้ต่าง ๆ กัน
เช่น ใน วิภังคปกรณํ ท่านแสดงว่าวิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ แต่ในอรรถกถาแสดงว่า ปฏิสนธิวิญญาณวิญญาณที่สืบต่อมา
นี่ท่านเถียงกันมาแล้ว เพราะท่านไม่แน่ว่าอย่างไรจึงจะแสดงให้เข้าใจ ท่านก็ต้องแยกออกไปเป็น อัทธา คือ กาล ๓ ได้แก่อตีตอัทธา กาลที่ล่วงมาแล้วคือ อวิชชาสังขาร นี่ตอนหนึ่ง ปัจจุปันนอัทธาตั้งแต่วิญญาณไปจนถึงภพ ภพก็แยกเป็น ๒ คือ กัมมภพ ภพคือกรมคือกิจการที่สัตว์ทำอย่างหนึ่ง
อุปปัตติภพภพคือความเกิดขึ้นหรือภพที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง
ท่านจัดวิญญาณจนถึงกัมมภพเป็นปัจจุปันนอัทธา คือกาลปัจจุบัน นี่ตอนหนึ่ง
ท่านจัดอุปปัตติภพและชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะอุปายาส เป็น อนาคตอัทธา กาลอนาคตท่านแบ่งเป็น ๓ กาลดังนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อวิชชากับสังขารก็ล่วงมาแล้ว มีแต่ในชาติก่อน
ในปัจจุบันนี้ สัตว์ก็มีตั้งแต่วิญญาณไปจนถึงกัมมภพ ยังไม่มีอุปปัตติภพ คือความเกิด ต่อชาติหน้าจึงจะมีอุปปัตติภพ ภพคือความเกิดแล้วก็มี ชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสสะ อุปายาส
และท่านแสดงสนธิ คือหัวต่อไว้ ๓ คือ เหตุอดีตได้แก่อวิชชา สังขารซึ่งต่อกับวิญญาณเป็นต้นอันมีปัจจุบัน นี่เรียกว่าสนธิ ๑ ในปัจจุบันนี้ ก็มีสนธิ
คือ กายอันนี้ ที่มีวิญญาณเป็นต้นจนถึงกัมมภพ แบ่งเป็นส่วนผลมีมาจากเหตุเก่าส่วนหนึ่ง เป็นส่วนเหตุที่เกิดขึ้นใหม่อันได้แก่กรรมอีกส่วนหนึ่ง
ผลเก่ากับทำเหตุใหม่นี้ต่อกัน เรียกว่าสนธิหนึ่ง
กรรมที่ทำในปัจจุบันนี้อันเรียกว่าเหตุใหม่ จะให้ผลต่อไปในอนาคตเป็นอุปปัตติภพ และชาติ ชรา มรณะเป็นต้น นี่เป็นสนธิอีกหนึ่ง
จึงมีสนธิ ๓ นี่แบบเก่าท่านแสดงไว้เช่นนี้
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริงแล้ว อวิชชาสังขารเป็นอตีตอัทธาไม่ใช่ปัจจุบัน ใครจะประพฤติดีประพฤติชอบเท่าไร ก็ละไม่ได้ เพราะเป็นอดีตล่วงมาแล้ว
เหมือนอย่างเมื่อวานนี้เราทำอะไรไว้แล้ว จะมาละในวันนี้ละไม่ได้
และปัจจุปันอัทธา คือ ตั้งแต่วิญญาณจนถึงกัมมภพเป็นปัจจุบัน ถ้าเช่นนั้น
ตั้งแต่อุปปัตติภพ จนถึง ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสสะ อุปายาส เป็นอนาคตยังไม่มาถึงเมื่อเป็นเช่นนี้ในปัจจุบันนี้ใครก็ละไม่ได้เพราะยังไม่มาถึง จะไปละอย่างไร เหมือนดังพรุ่งนี้จะมีอะไรขึ้น
เราจะละในวันนี้ไม่ได้ จะละได้ต่อเมื่อมาถึงเข้า ค้านกันอยู่เช่นนี้
และถ้าแบ่งแยกออกไปเป็น ๓ กาล ชาตินี้ เราก็ไม่มีอวิชชา สังขารเพราะนั่นเป็นเหตุอดีตล่วงมาแล้ว ทั้งไม่มีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส เพราะเป็นอนาคตยังไม่มาถึง
นึกถึงพระอรหันต์ พระอรหันต์ละอวิชชา สังขารได้
อวิชชาสังขาร เป็นอดีตหรือ ? ก็จะเห็นได้ว่าไม่ใช่อดีต ปัจจุบันนี้แหละ
ท่านจึงละได้ และอุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ
โทมนัสสะ อุปายาส ท่านละเมื่อไร ? ท่านก็ละในปัจจุบันนี้เอง
ไม่ใช่ละในอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เห็นได้ว่า
ปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่แบ่งเป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต
เป็นอดีต ก็อดีตทั้งสาย เป็นปัจจุบันก็ปัจจุบันทั้งสาย
เป็นอนาคต ก็อนาคตทั้งสาย
เช่นในอดีตที่เราได้เกิดมาแล้วเราก็มีตั้งต้นแต่อวิชชาสังขารไปจึงถึง
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส มาถึงปัจจุบันนี้
เราก็มีอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ไปจนถึง ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส ในปัจจุบันนี้แหละถ้าจะมีต่อไปในอนาคตก็มีเต็มที่ทั้งสาย ตั้งแต่อวิชชาไป เพราะฉะนั้น
ในบัดนี้เรา ต้องมีตั้งต้นแต่อวิชชา สังขาร จนถึงชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะโทมนัสสะ อุปายาส พระอรหันต์ละกิเลส ก็ละอวิชชาสังขาร จนถึง
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส ในปัจจุบันนี้เอง ปฏิจจสมุปปาท ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อมแยกเป็น ๒ คือ
ปฏิโลม จับผลสาวขึ้นไปหาเหตุ ซึ่งในปฏิจจสมุปบาทท่านเรียกว่า ปัจจัย
คือจับผลสาวขึ้นไปหาปัจจัยโดยลำดับ
อนุโลม จับเหตุหรือปัจจัยสาวลงไปหาผลโดยลำดับจึงเป็น ๒
ถ้าจะเรียกว่า อริยสัจ ๒ ก็ได้ คือสายหนึ่งทุกข์กับทุกขสมุทัย
อีกสายหนึ่งทุกขนิโรธกับมรรค
ตามแบบเก่าแยกออกเป็น ๓ กาล คืออวิชชา สังขารเป็นอดีต ตั้งแต่วิญญาณมาถึงภพจัดเป็นปัจจุบัน ตัวภพยังแยกออกเป็น ๒ คือ กัมมภพ
ภพคือกรรม อุปปัตติภพ ภพคืออุปบัติ ความเข้าถึงหรือความเกิดขึ้น
ท่านแสดว่าตั้งแต่วิญญาณจนถึงกัมมภพเป็นปัจจุบัน
ตั้งแต่อุปบัติภพไปเป็นอนาคต ถ้าเช่นนั้นแล้ว อวิชชากับสังขาร
ก็ล่วงมาแล้ว มีมาแต่ชาติก่อน ตั้งแต่อุปปัตติภพไปยังไม่มีมาถึง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในปัจจุบันนี้ก็ต้องมีแต่วิญญาณจนถึงกัมมาภพเท่านั้น
ชาติก็ไม่มี ชรา พยาธิ มรณะ ก็ไม่มี
แต่ว่าพิจารณาดูไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะอวิชชา สังขารเป็นอดีต พระอรหันต์จะละสิ่งที่เป็นอดีตไม่ได้ ต้องละได้แต่ที่เป็นปัจจุบัน
ส่วนที่เป็นอนาคตก็ละไม่ได้ เพราะยังไม่มาถึงมีพระบาลีในภัทเทกรัตตคาถาแสดงไว้ว่า" อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ไม่คิดถึงอดีต ไม่ควรหวังอนาคต ยทตีตมฺหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจอนาคตํ ( เพราะ ) ส่วนที่เป็นอดีต ก็ได้ละเสียแล้ว ส่วนที่เป็นอนาคตก็ยังไม่ถึงปจฺจุปฺปนฺนนญฺจ โย ธมมํ ตตฺถ วิปสฺสติ อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ ตํ วิทฺธามนุพฺรูหเย ผู้ใดเห็นแจ้งธรรมที่เป็นปัจจุบัน ในที่นั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ ไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลน ผู้นั้น ครั้นรู้ธรรมนั้นแล้ว ก็พึงเจริญเนือง ๆ "เมื่อจับหลักพุทธประวัติ คือเรื่องของพระพุทธเจ้าเมื่อตอนตรัสรู้ ท่านแสดงว่าพระพุทธเจ้าจับผลสาวไปหาเหตุ คือจับตั้งแต่ ชรา มรณะไปว่า มีเพราะอะไรก็สาวขึ้นไปหาเหตุไปจนถึงอวิชชา ไม่ได้ปรากฏว่าปันเป็น ๓ กาล
คือ อดีต ปัจจุบันอนาคต เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า ที่ท่านปันปฏิจจสมุปบาทออกเป็น ๓ กาล ไม่สมกับพระพุทธประวัติ
ถ้าอดีตก็ต้องอดีตทั้งหมดสาย ปัจจุบันก็ตลอดสายอนาคตก็ตลอดสายเหมือนกัน.ทีนี้มาว่าถึงปฏิจจสมุปบาทที่ไม่ปันเป็น ๓ กาล แต่ที่ว่านี้ว่าตามทัศนะคือความเห็นหรือตามมติความรู้ แต่ก็รู้เพียงธรรมและอรรถคือเนื้อความเมื่อพิจารณาดู ต้องไปจับหลักพระบาลีที่แสดงในธาตุวิภังคสูตรว่าฉธาตุโร ปุริโส คนมีธาตุ ๖ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ อันรวมเข้าเป็นรูปกาย กายที่เป็นส่วนรูปไม่มีความรู้ กับวิญญาณธาตุ ธาตุรู้อีกส่วนหนึ่งรวมเป็น ๖
ถ้าลำพังแต่ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ไม่มีวิญญาณธาตุ ธาตุรู้เข้าผสมด้วย
ก็ไม่เป็นคน ถ้ามีแต่วิญญาณธาตุ ไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็นที่อาศัยของวิญญาณธาตุ ๆ ก็ไม่ปรากฏเหมือนไฟไม่ติดเชื้อ เพราะฉะนั้น
เราตรวจดูเราในบัดนี้ว่า เรามีอะไรบ้าง จะเห็นได้ว่า กายอันนี้ที่แยกออกเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ส่วนหนึ่ง มีธาตุรู้อีกส่วนหนึ่งผสมกันอยู่
ธาตุรู้นั้นแหละออกมาทางจักษุคือตาก็มาประสบรูป ออกมาทางโสตะคือหู ก็มาประสบเสียง ออกมาทางฆานะคือจมูก ก็มาประสบกลิ่น ออกมาทางชิวหาคือลิ้น ก็มาประสบรส ออกมาทางกายก็มาประสบโผฏฐัพพะ ออกมาทางมนะหรือมโน ก็มาประสบธรรมคือเรื่อง ก็เกิดจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
นี่ตรวจดูเราเองเป็นอยู่เช่นนี้
อายตนะภายใน อายตนะภายนอกกับวิญญาณ ๓ อย่างรวมประชุมกันเข้า ก็เป็นผัสสะ ความกระทบ ต่อจากผัสสะก็ให้เกิดเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ตรวจดูเราเองอาจเห็นได้ถ้าเป็นอยู่เพียงเท่านี้ เราจะพูดกันไม่ได้ฟังกันไม่รู้เรื่อง เพราะขาดสัญญาความจำพูดไม่ต่อกันฟังไม่รู้เรื่อง ต้องมีสัญญาความจำ
เมื่อมีสัญญาความจำเกิดขึ้น ต่อไปก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
สังขาร ในที่นี้ ไม่มุ่งส่วนที่เป็นบุญคือดี ไม่มุ่งส่วนที่เป็นบาปคือชั่ว
แต่มุ่งถึงส่วนที่เป็นกลาง ๆ
เพราะฉะนั้น สังขารโดยปริยายคือทางหนึ่ง ท่านจึงแสดงไว้ ๓ ได้แก่ ลมหายใจเป็น กายสังขาร คือปรุงกายหมายความว่า กายจะเป็นอยู่ได้
ก็เพราะลมหายใจ ถ้าไม่มีลมหายใจ กายเป็นอยู่ไม่ได้ ลมหายใจจึงกลายเป็นสังขาร ปรุงกาย นี่อย่างหนึ่ง
วิตก ตรึกนึก วิจาร ตรอง รวมกันเรียกว่าวิตกวิจาร เป็น วจีสังขาร
คือปรุงคำพูด เพราะคนเราจะพูดอะไร ต้องตรึกต้องตรองก่อนว่าจะพูดเรื่องอะไร จะพูดอย่างไร วิตกวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร เมื่อเปล่งคำออกมาก็เป็นวจีกรรม กิจการที่ทำทางวาจาพิจารณาดูไม่ใช่วิตกวิจารจะปรุงเพียงวจีกรรม ย่อมปรุงกายกรรม คือกิจการที่ทำทางกายด้วย เช่นคนจะทำการงานอะไรต้องตรึกก่อน ต้องตรองก่อน รวมกันไปแล้วจึงทำ เพราะฉะนั้น วิตกวิจารก็เป็นสังขารปรุงกายกรรมด้วย นี่ส่วนหนึ่ง สัญญา กิริยาที่จำ เวทนา กิริยาที่เสวยสุขทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข
ทั้งสองนี้เป็น จิตสังขาร ปรุงแต่งจิต เพราะจิตที่จะนึกคิดอะไร ต้องอาศัยสัญญากิริยาที่จำ และอาศัยเวทนากิริยาที่ได้เสวยแล้ว จึงคิด จึงนึก ตัวคิดตัวนึกเรียกว่า มโนจิต เป็นต้นเดิม สัญญาเวทนาปรุงจิต ปรุงออกมาเป็น มโน คือมาเป็นตัวคิดมโนออกมาคิดเรื่องที่เรียกว่าธรรม นี่อีกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น
ลมหายใจจึงเป็นกายสังขารปรุงแต่งกาย
วิตกวิจารเป็นวจีสังขาร ปรุงแต่งวาจาให้เป็นวจีกรรมตลอดถึงปรุงแต่งกายกรรม สัญญาเวทนาเป็นจิตสังขารปรุงแต่งจิต เพียงเท่านี้ มีทั่วไปหมดทั้งแก่พระอรหันต์ทั้งแก่สามัญชน นึกดูตามเรื่องพระอรหันต์
มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็มี ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็นธาตุไม่รู้เป็นส่วนรูป มีวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ผสมกันอยู่ และธาตุรู้ก็ออกมาทางอายตนะมาประสบ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมคือเรื่อง แล้วก็เกิดเวทนา แล้วก็ถึงสัญญา แล้วก็ถึงสังขาร สังขารในที่นี้น่าจะมุ่งถึงความนึกคิดของจิต เพราะสืบต่อจากเวทนา สัญญา
พระอรหันต์ก็มีเช่นนี้ คนสามัญก็มีเช่นนี้ เพราะฉะนั้น สังขาร ๓ ดังกล่าวมานี้ไม่เป็นบุญ คือปุญญาภิสังขาร ไม่เป็นบาปคืออปุญญาภิสังขาร
ไม่เป็นอเนญชาภิสังขาร เป็นไปตามเรื่องของสรีรยนต์เครื่องยนต์คือสรีระอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ถ้าจะถามว่า ทำไมธาตุรู้คือวิญญาณธาตุ จึงมาผสมกับ ดิน
น้ำ ลม ไฟ อากาศ ซึ่งเป็นธาตุไม่รู้เล่า ?
พระบาลีไม่ได้แสดงไว้ แต่ถ้าจะพิจารณาดูสืบเข้าไปก็สันนิษฐานว่า เพราะธาตุรู้ถึงเป็นธาตุรู้ก็จริง แต่ว่าเป็นธาตุรู้ที่ไม่บริสุทธิ์มีกิเลสเข้าผสม กิเลสก็มีอวิชชาเป็นต้น อวิชชา ก็คือรู้ไม่ถูกตามเป็นจริง
เหมือนดังทองคำ ทองคำแท้เป็นธาตุบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมดา แต่ว่าไม่บริสุทธิ์ เพราะมีธาตุอื่นเข้ามาผสม จึงทำให้เนื้อทองต่ำไป ธาตุอื่นเข้ามาผสมมาก เนื้อทองก็ต่ำมาก ธาตุอื่นมาผสมน้อย เนื้อทองก็ต่ำน้อย
ธาตุรู้ก็เหมือนกัน ถ้ากิเลสมาผสมมาก ธาตุรู้ก็รู้ต่ำรู้ทราม ถ้ากิเลสมาผสมน้อย ธาตุรู้ก็รู้มากรู้ละเอียดมากขึ้นไปท่านผู้บำเพ็ญเพียรใช้ปัญญารู้พิจารณาจนเห็นจริงถึงที่สุด บรรลุวิชชาและวิมุตติแล้ว ก็พ้นจากปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร คงมีแต่กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อันเป็นผลของเหตุเก่าซึ่งยังคงเหลืออยู่กว่าจะถึงที่สุด ถึงมีประวัติปรากฏว่า พระอรหันต์เข้าฌาน
นั่นเพียงเป็นการหยุดพักของท่านแต่ท่านไม่ได้ติดในฌานนั้นส่วนสำหรับปุถุชนนั้น เมื่อกิเลสมาผสมกับธาตุรู้ ก็ทำให้รู้ผิดจากความจริงเป็นอวิชชา ดังพระบาลีว่า
" ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิอุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ
แปลว่า : ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นธรรมชาติ ปภัสสรคือผุดผ่อง แต่จิตนั้นแลเศร้าหมองแล้วเพราะอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่จรมา. "
เมื่อรู้ผิดจากความจริง ก็คิดดี เป็นปุญญาภิสังขารบ้าง
คิดชั่วอันเป็นอปุญญาภิสังขารบ้าง คิดอยู่ในอารมณ์เดียว
เป็นอเนญชาภิสังขารบ้างอีกส่วนหนึ่ง ( นอกจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารที่แสดงมาแล้ว )
มีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เมื่อคิดเรื่องที่ดี ที่เป็นปุญญาภิสังขาร ก็ปรุงแต่งจิตให้ดี ภพก็ดีไปตาม คิดเรื่องที่ชั่วเป็นอปุญญาภิสังขาร ก็ปรุงแต่งจิตให้ชั่วภพก็เป็นภพชั่วไปตาม
คิดอยู่ในเรื่องเดียวที่ดี จนแน่วแน่มั่นคงเป็นอเนญชาภิสังขาร ก็ปรุงแต่งจิตให้แน่วแน่ ภพก็ตั้งมั่นเป็นอเนญชภพไปตาม แต่ว่าปรุงแต่งภพทั้งนั้น
ไม่ใช่ทำลายภพ นี่อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สายสมุทัย เมื่อสังขารเกิดขึ้น วิญญาณ ความรู้สึกก็เกิดต่อเนื่องกันไป
เราตรวจดูที่เรา เราคิดอะไร ชั่วก็ตาม ดีก็ตาม หรือเราตั้งใจกำหนดอารมณ์ให้แน่นอน ซึ่งเรียกว่า สมถกัมมัฏฐานก็ตาม ความรู้สึกซึ่งเรียกว่าวิญญาณก็เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสังขาร
คือคิดนึก ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และธาตุรู้ถึงมีประจำอยู่ แต่ไม่ทำการงานอะไรก็สงบอยู่ เหมือนดังคนนอนหลับ ร่างกายส่วนรูป คือ ดินน้ำ ไฟ ลม อากาศ ก็มี วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ก็มี แต่ถึงมีก็ไม่ได้ทำงาน
จึงไม่เกิดวิญญาณความรู้สึก ต่อเมื่อตื่นขึ้นธาตุไม่รู้กับธาตุรู้ที่ผสมกันทำงาน
คือนึกคิด ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณความรู้สึก
นี่สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เมื่อมีวิญญาณเกิดขึ้นสืบมาจากสังขารนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร
ซึ่งต่อเนื่องกับวิญญาณ และรูปคือร่างกายที่มีประจำอยู่ก็พร้อมกันทำหน้าที่นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖ เมื่อนามรูปเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่อายตนะทั้ง ๖ ก็ทำหน้าที่ทีเดียว
คือ ตาก็มีหน้าที่เห็น หู ก็มีหน้าที่ได้ยิน จมูกก็มีหน้าที่ได้กลิ่น ลิ้น ก็มีหน้าที่ลิ้มรส กาย ก็มีหน้าที่ถูกต้อง มนะ ก็มีหน้าที่นึกคิดประกอบกันไปนี่นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖อายตนะ ๖ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เมื่อนามรูปเตรียมพร้อมเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะภายใน ๖
ต่อกับอายตนะภายนอก ๖ ดังนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะคือความกระทบหรือ สัมผัสสะ ความกระทบพร้อมผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เมื่อผัสสะเกิดขึ้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง เช่นนี้เกิดแก่พระอรหันต์ก็ได้ เกิดแก่ปุถุชนก็ได้
แต่ที่เกิดแก่พระอรหันต์ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา เพราะสืบเนื่องมาจากวิชชา
จึงเป็นเรื่องของสรีรยนต์เท่านั้นเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา แต่ว่าในปฏิจจสมุปบาทนี้ท่านแสดงว่าเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
เพราะสืบเนื่องมาจากอวิชชา จึงหมายถึงเวทนาที่เกิดแก่ปุถุชน ถ้าสุขเวทนาเกิดขึ้นก็ต้องการได้ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็ต้องการเสีย ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขเกิดขึ้นก็หลงไม่รู้ตามเป็นจริง จึงเกิดความรำคาญ
เวทนาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานเมื่อตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ตัณหาไม่ใช่เกิดคงที่อยู่เสมอ เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วก็ดับ แต่ไม่ดับสูญไปหมดทีเดียว เพราะมีอุปาทาน ความยึดถือต่อเนื่องจากตัณหา เพราะฉะนั้น ท่านจึงว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานความยึดถืออุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ เพราะยึดถือนั้นแหละจึงเกิด ภพ คือตัวเป็น หรือ ความเป็น
ยึดถืออย่างไร ภพคือตัวเป็นหรือความเป็น ก็เป็นอย่างนั้น
เหมือนเช่นมือเรามีอยู่ แต่เราไม่ยึดอะไร ก็เป็นมืออยู่เฉย ๆ ไม่ติดกับอะไร แต่ถ้าเราไปยึดสิ่งใดเข้า ความติดกับสิ่งนั้นก็เกิดมีขึ้น เพราะฉะนั้นอุปาทานจึงเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพก็คือตัวเป็นหรือความเป็น เป็นไปตามอุปาทาน คือความยึดถือ ท่านแสดงไว้ว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ต่อไปภพก็เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ คือเกิดเป็นโน่น เป็นนี่เป็นนั่น เช่นเป็นคนชาตินี้ ชาตินั้น เป็นชาย เป็นหญิง
เป็นเศรษฐี เป็นคนจนเป็นต้น เป็นไปต่าง ๆ ที่เป็นโน่น เป็นนี่
เป็นนั่น ต่าง ๆ ก็เพราะภพ คือ ตัวเป็น คือ เป็นตัว เป็นเรามาก่อน จึงเป็นนั่น เป็นนี่ เป็นตัว เป็นเราก็เพราะยึดถือ นี่ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ
เมื่อพิจารณาดูน่าจะเห็นว่าชาติก็คือองค์อันหนึ่งของภพชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ ฯ ล ฯเมื่อมีชาติเป็นอะไรขึ้นแล้ว ชรามรณะ ก็เกิดมีสืบต่อ เพราะฉะนั้น ชาติจึงเป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ และเกิด โสหะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ ด้วย นี่เป็นสายสมุทัย คือ สายเกิดเมื่อท่านผู้บำเพ็ญเพียร ได้บำเพ็ญเพียรไปจนเห็นแจ้ง รู้จักอวิชชาตามเป็นจริง อวิชชาก็ดับ วิชชาที่ตรงกันข้ามก็เกิด เหมือนดังมืดกับสว่าง
อวิชชาเหมือนมืด วิชชาเหมือนสว่าง เมื่อวิชชาเกิดขึ้น ก็กำจัดอวิชชาคือมืดให้ดับไป เมื่อดับอวิชชาเพราะรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วที่นี้เห็นอะไรก็รู้ตามเป็นจริงหมด ไม่ต้องนึกต้องคิดที่เป็นสังขารอันปรุงแต่งภพชาติต่อไป เพราะเห็นตามเป็นจริงก็ดับสังขาร
เมื่อดับสังขารก็ดับวิญญาณอันสืบมาจากอวิชชา เมื่อดับวิญญาณก็ดับนามรูปเป็นลำดับไปจนถึงดับภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสสะ อุปายาสะ นี่เป็นสายนิโรธคือความดับ ปฏิจจสมุปบาท ท่านแสดงสายสมุทัยคือทุกข์กับสมุทัยสายหนึ่ง
สายนิโรธ คือนิโรธกับมรรคอีสายหนึ่งเป็นคู่กัน
ถ้าดับสายสมุทัยก็ต้องดับอวิชชาเป็นต้น เพราะวิชชาเกิดขึ้น และก็ดับต่อกันไปโดยลำดับ แต่ว่าธาตุไม่รู้กับธาตุรู้ที่รวมกัน และอายตนะ ๖
วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และสังขาร
คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร ยังคงมีอยู่กว่าจะถึงที่สุด
เพราะสืบเนื่องมาแต่กรรมเก่าเพราะฉะนั้น พระอรหันต์ดับอวิชชาเพราะวิชชาเกิดขึ้น แต่ก็ยังเป็นอยู่ ไปบิณฑบาตก็ได้ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ได้ร่างกายเจ็บก็ได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของสรีรยนต์ ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป
แต่ส่วนคนสามัญ เพราะอวิชชาเป็นต้นเดิมมีอยู่ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารปรุงแต่ง ปรุงแต่งก็ปรุงแต่งชั่วบ้างดีบ้าง ปรุงแต่งอเนญชะบ้าง แล้วก็เกิดภพ นี่ว่าข้ามไปทีเดียว ถ้าไม่ข้ามก็เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ แล้วก็เกิดนามรูป ดังที่แสดงมาแล้ว นี่เป็นสายสมุทัย ว่าถึงสายนิโรธซ้ำอีกก็คือ
ท่านผู้รู้ตามเป็นจริงดับอวิชชาได้
วิชชาเกิดขึ้นดังพระบาลีว่า อวิชฺชาวิหตา อวิชชาท่านกำจัดเสียได้
วิชฺชาอุปฺปนฺนา วิชชาเกิดขึ้น ตโม วิหโต มืดท่านกำจัดเสียได้
อาโลโก อุปฺปนฺโน แสงสว่างเกิดขึ้น นี่เป็นสายนิโรธ.
ถ้ายังดับอวิชชาไม่ได้ ก็เดินสายสมุทัย กองทุกข์ทั้งปวงก็เกิดอยู่เสมอ
ต่อเมื่อดับอวิชชาได้ กองทุกข์ทั้งปวงก็ดับ ส่วนสรีรยนต์ก็เดินไปตามเรื่อง
กว่าจะถึงที่สุดแต่ว่าเป็นเรื่องของสรีรยนต์ ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นอเนญชะ แต่เป็นทุกขสัจ.
( โอ. ๒/๑๖๑-๑๗๕ คลิกดู ภพ (๒)ด้วย
................................ http://www.oknation.net/blog/agile/2011/07/06/entry-1
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |