แม่จ๋า...
 วันที่แม่-ลูกปลื้มที่สุด
แม่...คงเป็นคำนี้กระมัง คำแรกที่ลูกพูดแล้วมีคนฟังรู้เรื่อง โดยเฉพาะแม่เอง แม่คงดีใจมากนะ เมื่อแม่ได้ยินคำว่า แม่ ออกมาจากปากของลูก คำว่า แม่ คำเดียวสั้นๆนี้ จะมีใครสักกี่คนเล่าที่รู้ว่าค่า รู้ความหมาย รู้ว่าคำๆนี้มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
แม่จ๋า...ตั้งแต่ลูกเกิดมา ลูกก็มีเพียงแม่คนเดียวเท่านั้นที่คอยห่วงใยลูกตลอดมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชีวิตลูกนี้อาภัพนัก เกิดมาได้ไม่นานพ่อก็จากไป ทิ้งภาระการเลี้ยงดูลูกๆไว้ให้กับแม่เพียงคนเดียว แม่ต้องทนลำบากเพื่อจะเลี้ยงดูลูกๆของแม่ให้เติบโตขึ้นมา แม่จ๋า...ลูกภูมิใจยิ่งนักที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ ถึงลูกจะขาดพ่อ แต่ลูกก็ยังมีแม่ มีแม่ที่แสนดี แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ของลูก แม่คอยปกป้อง คอยห่วงใย คอยอบรมสั่งสอนให้ลูกเติบโตมาเป็นคนดี แม่คอยเอาใจใส่ดูแลลูกตลอดมา
ยามที่แม่เห็นลูกของแม่มีความสุข เห็นลูกยิ้มแย้มแจ่มใส แม่ก็จะพลอยมีความสุขกับลูกไปด้วย เมื่อยามที่แม่เห็นลูกทุกข์ ใครเล่าจะรู้ได้ว่าใจของแม่นั้นเป็นอย่างไร ยามลูกสุขแม่ก็สุขด้วย แต่ไม่ใช่ว่ายามลูกทุกข์แม่จะทอดทิ้งลูก กลับตรงกันข้าม ดูเหมือนแม่จะทุกข์ยิ่งไปกว่าลูกหลายเท่านัก แม่คอยปลอบใจลูกให้หายทุกข์ แม่คอยให้กำลังใจลูก แม่ไม่เคยที่จะซ้ำเติมลูกเมื่อลูกผิดหวังพลาดหวังจากสิ่งใดมา
แม่คือผู้ให้ แม่ให้ทุกอย่างกับลูกได้โดยแม่ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน แต่คงมีสิ่งหนึ่งที่ใจแม่หวังและต้องการจากลูก สิ่งนั้นก็คือ แม่ต้องการเห็นลูกของแม่เป็นคนดี เป็นคนที่สังคมยอมรับ แม่ต้องการเห็นลูกของแม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
แม่เลี้ยงลูกมากว่าลูกจะโตและสามารถพึ่งตัวเองได้แม่ต้องทรมานกายทรมานใจมาก ทรมานกาย...แม่คงไม่คิดอะไรมาก แต่ทรมานใจเมื่อยามที่แม่ว่ากล่าวตักเตือนลูก แล้วลูกไม่พอใจ ลูกโกรธแม่ แม่จ๋า...เวลานั้นแม่คงทรมานใจมาก แม่คงน้อยใจมาก
 กิจวัตรของแม่(เราถ่าย-ล้าง-อัดรูปนี้เอง วิชาโฟโต้)
ความรักของแม่ที่มีให้แก่ลูกนี้ช่างมากมายมหาศาลยิ่งนัก ความรักของแม่ช่างเป็นความรักที่เที่ยงแท้และมั่นคงยิ่งนัก เกินกว่าที่ลูกจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีขอบเขต มีที่สิ้นสุด แต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุดเลยจริงๆ
แม่จ๋า...พระคุณของแม่ช่างมากมายยิ่งนัก มากเกินกว่าที่ลูกจะทดแทนได้หมดสิ้นในชีวิตนี้ แต่ลูกขอสัญญาว่า ลูกจะขอตอบแทนพระคุณของแม่ให้ได้มากที่สุด ลูกจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ลูกจะไม่ดื้อ ลูกจะเป็นคนที่มีเหตุผลให้มากขึ้นกว่าเดิม ลูกจะเป็นลูกที่ดีของแม่ ที่สำคัญลูกจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังในตัวลูกอย่างแน่นอน เพื่อให้สมกับที่แม่รักและห่วงใยในตัวลูก ลูกจะพยายามทำแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ทำให้แม่ของลูกสุขใจ สบายใจ นะจ๊ะแม่จ๋า
..........นี่เป็นเรียงความที่เราเขียนขึ้นมาตอนที่เรียนอยู่ ม.๕ ตอนนั้นคุณครูให้เขียนเรียงความประกวดเนื่องในวันแม่ เราจำได้ว่า คืนที่เราเขียนแม่กำลังนอนหลับหลังจากที่แม่ต้องทำงานหนักมาทั้งวัน เรามองแม่ไป แล้วก็เขียนไป
พอถึงวันแม่ โรงเรียนจัดกิจกรรมเชิญแม่ของนักเรียนมาร่วม แต่แม่เราไม่ได้ไป เพราะติดไปวัด แม่ชอบไปทำบุญรักษาศีลที่วัด แม่จะไปวัดทุกวันพระ และวันสำคัญๆ...วันนั้นแม่ให้พี่สาวของเราไปที่โรงเรียนแทน
 เดี๋ยวนี้แม่เป็นแม่ชี
เช้าวันนั้น พอไปถึงโรงเรียน คุณครูเรียกให้เราไปพบแล้วบอกว่าเรียงความเราชนะเลิศ และให้เราออกไปอ่านเรียงความในหอประชุมช่วงที่ทำกิจกรรม ตอนนั้นก็ดีใจที่เรียงความเราชนะเลิศ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับการที่จะต้องออกไปอ่านเรียงความที่หน้าหอประชุม ซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกที่โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมวันแม่อย่างพิเศษกว่าที่ผ่านๆมา
พอถึงเวลาที่ต้องออกไปอ่าน ตอนนั้นเป็นช่วงหลังจากพระอาจารย์ฉลอง (เจ้าอาวาสวัดเขาดิน)เทศน์สอนเด็กๆเกี่ยวกับเรื่องแม่ แล้วพระอาจารย์ ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่าเป็นผู้ตัดสินการประกวดเรียงความครั้งนี้ ก็บอกให้เราออกไปอ่าน ความรู้สึกของลูกคนหนึ่งที่มีต่อแม่...
อาจจะด้วยบรรยากาศที่ดูขลัง เราเริ่มอ่านเรียงความของเราไปได้ไม่กี่คำเราก็อ่านไม่ออก มันจุกที่คอหอย สุดท้าย เราอ่านไปร้องไห้ไป เพื่อนๆนักเรียนและแม่ที่มาร่วมงานจำนวนมากก็พลอยร้องไห้ไปด้วย และเราก็มารู้จากพี่สาวเราในตอนหลังว่า พวกเขาไปถึงโรงเรียนตอนที่เรากำลังจะอ่านเรียงความพอดี ก็เลยยืนร้องไห้กันอยู่ข้างหอประชุมนั่นเอง
ปีนั้นแม่เสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงาน...เช่นเดียวกันปีนั้นพระอาจารย์ฉลองก็เสียดายที่ไม่ได้อัดเทปตอนที่เราอ่านเรียงความไว้
เหมือนหวยล็อค ปีต่อมาเรียงความของเราชนะเลิศอีก แน่นอนปีนี้แม่เราไม่พลาดที่จะมาร่วมงาน เช่นเดียวกับพระอาจารย์ฉลองที่เตรียมอัดเทปเสียงเราไว้ด้วย ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าพระอาจารย์อัดเทปไว้ เข้าใจว่าผ่านไปปีหรือสองปีนี่แหละ ญาติเราคนนึงไปวัดพระอาจารย์ฉลองแล้วได้ฟังเทปที่พระอาจารย์เอามาเปิดให้คนที่ไปอยู่วัดฟัง เราถึงรู้ (แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เรายังหาเทปม้วนนั้นไม่เจอ หลังจากที่ย้ายบ้านรอบล่าสุดเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว)
ขอเล่าถึงการไปร่วมงานวันแม่ของแม่เราในปีนั้นอีกนิด มันเหมือนกับเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาไม่นาน เรายังจำได้ดี ปีนั้นเราไม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนปีก่อนในตอนอ่านเรียงความ แค่มีเสียงเครือบ้างเท่านั้น
หลังผ่านช่วงที่เราอ่านเรียงความ ก็เป็นช่วงที่คุณครูเชิญแม่ของนักเรียนที่มาร่วมงานออกไปกล่าว อวยพรให้ลูกๆ แม่ส่วนใหญ่ที่ออกไปพูดก็จะเป็นแม่ที่เป็นครู หรือคนที่พูดเก่งๆ ...สุดท้ายขอเรียนเชิญคุณแม่ที่ลูกออกเพิ่งมาอ่านความรู้สึกไปเมื่อสักครู่มาอวยพรให้กับลูกๆ...ขอเรียนเชิญแม่ของ... ใช่คุณครูเชิญแม่เราออกไปพูดหน้าหอประชุม
โอ...แม่เราเป็นชาวไร่เต็มตัวเลยนะ แถมจัดว่าขี้อายด้วย ปกติแม่จะยิ้มอย่างเดียว ไม่ค่อยพูด... แม่โบกไม้โบกมือ ไม่เอาๆ แม่พูดไม่เป็น แต่คุณครูก็คะยั้นคะยอ ท่ามกลางเสียงปรบมือเชียร์ของคนในหอประชุม พักนึงคุณครูบอกให้เราพาแม่ออกมา คิดดูดิ...แม่คนอื่นเขาออกไปเอง แม่เราเราต้องเดินจูงมือออกไป พอไปถึงหน้าหอประชุม ยืนอยู่หน้าไมค์แล้ว แม่ยังพูดออกไมค์ในท่าทางเขินๆ ยกมือโบกไปมาในแบบของแม่ ...แม่พูดไม่เป็น ขณะที่คุณครูที่เป็นวิทยากรในงานพยายามคะยั้นคะยอ นิดเดียวก็ได้ครับคุณแม่...นิดเดียวครับ
แม่ขอให้ลูกๆทุกคนมีความสุข และตั้งมั่นอยู่ในความดี... นิดเดียวจริงๆค่ะ แต่กินใจใช่ไหมล่ะ นี่แหละ... แม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ...แม่ของฉันเอง
 แม่ยิ้มหวาน...ตอนเรากลับบ้าน(ช่วงเรียนมหา'ลัย)
แม่จ๋า...จนถึงวันนี้ ลูกยังยืนยันว่าลูกภูมิใจยิ่งนักที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ แม้ลูกจะไม่มีพ่อ แต่ลูกไม่เคยรู้สึกเลยว่าลูกขาดพ่อ แม่คือยอดหญิงที่เก่งที่สุดและดีที่สุดของลูก
ทุกครั้งที่มองย้อนกลับไปในอดีต เรารู้สึกทึ่งในตัวแม่มาก ตอนที่พ่อจากไป คิดดูแล้วแม่มีอายุเท่าๆกับเราในตอนนี้เลย ...แต่ตอนนั้นแม่มีลูกต้องดูแลถึง ๖ คน เราคนเล็กสุดอายุไม่เต็ม ๒ ขวบดี พี่ๆก็ไล่ๆกันขึ้นไป คนโตสุดอายุ ๑๓ ขวบ
นอกจากจะมีลูกต้องดูแลถึง ๖ คน ก็ยังมีหนี้อีกก้อนที่เกิดจากการรักษาพยาบาลพ่อในช่วงที่พ่อป่วยหนัก
ตอนนั้นแม่มีที่ดินอยู่แปลงนึง แม่เคยบอกว่าใครๆเขาก็พูดว่าเดี๋ยวแม่คงต้องขายที่ดินใช้หนี้ แต่แม่บอกว่า แม่ตั้งใจเลยว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ขายที่ดินแน่นอน
ตอนนั้นครอบครัวเราลำบากมาก (จริงๆที่ถูกควรบอกคือแม่ลำบากมาก) บางวันไม่มีข้าวหุงให้ลูกๆกิน ต้องไปยืมข้าวจากญาติๆมาก่อน แม่บอกว่าช่วงที่แย่มากๆ แม่ต้องซื้อปลายข้าวมาหุงให้ลูกกิน เพราะราคาจะถูกหน่อย หุงแล้วก็ไม่เป็นเม็ดข้าวหรอก มันเละไปหมด แต่ก็ทำให้ลูกๆโตขึ้นมาได้
 แม่-พี่ชาย-ลูกอา และเรา
บ้านเราจะมีเมนูกับข้าวแปลกๆที่เราก็ยังจำรสชาติได้ดี ที่ฮิตสุดก็คงเป็นต้มยำกุ้งแห้ง ใส่กุ้งแห้งไม่กี่ตัว ใส่น้ำเยอะๆ แม่บอกลูกหลายคน ก็ต้องใส่น้ำเยอะไว้ก่อน ไม่งั้นก็ไม่พอกิน ซึ่งสูตรการทำต้มแกงน้ำเยอะๆนี้ เราติดมาจนโต
เมนูอื่นก็อย่างเช่น ผัดพริกแกงกากมะพร้าว การเลียงใบมะยม เมนูหลังนี้จำได้ดี เราเคยทำเองครั้งนึงน่าจะตอนอยู่ ม.ต้น ปรากฏเหลือครึ่งหม้อ ก็มือใหม่หัดทำนิ แต่แม่ก็ไม่ว่านะ เพราะของทุกอย่างไม่ได้ซื้อ ทั้งใบมะยมที่เก็บจากต้น และมะพร้าวจากในสวน
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แม่เลี้ยงพวกเรามาได้โดยไม่ต้องขายที่ ก็เพราะพ่อเราปลูกสวนผลไม้ไว้เยอะมาก มีทั้งมะพร้าว ละมุด น้อยหน่า ตั้งแต่เราจำความได้แม่ก็จะเก็บของพวกนี้ไปขาย แม่เราตัวเล็กนิดเดียว แต่แม่หาบน้อยหน่า หาบละมุดเข่งใหญ่ๆได้
แม่เป็นคนมัธยัสถ์มาก จะใช้เงินก็เมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น และแม่จะเก็บเงินเก่งมาก เมื่อก่อนแม่ต้องเอาละมุดในสวนมาขายในตัวเมืองสระบุรี(บ้านเราอยู่ อ.พัฒนานิคม ลพบุรี) วันนึงขายได้อย่างมากก็สัก 200 กว่าบาท แต่แม่ก็มานะเอาเงินที่ขายได้ไปฝากธนาคาร พวกเรามารู้เมื่อจู่ๆวันนึงแม่มีเงินมาซื้อที่ดินเพิ่ม เป็นไงล่ะ...นอกจากไม่ขายที่ดินเดิมที่มี แม่ยังมีเงินมาซื้อที่ใหม่
แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีเงินมาก...จริงๆเรียกว่า"จน"นั่นแหละ พี่ๆเราเลยไม่ได้เรียนหนังสือ พี่ ๕ คน จบสูงสุดคือ ม.๓ แค่คนเดียว นอกนั้นมี ป.๖ คนนึง ที่เหลือก็ป.๔ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อลูกคนเล็กของแม่ น้องคนเล็กของพี่ๆ มีโอกาสได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย มันจะเป็นความภูมิใจของพวกเขาขนาดไหน (เราเรียนด้วยเงินทุนของมหาวิทยาลัยนะ ในโครงการเรียนดีจากชนบท (ช้างเผือก) ม.ธรรมศาสตร์)
......อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของลูก ลูกคิดถึงแม่จ๋าจัง อยากนอนหนุนตักแม่ อยากให้แม่กอดและลูบหัวลูก แม่จ๋า...ลูกรักแม่มากที่สุดค่ะ มาถึงวันนี้ วันที่ลูกมีลูก ลูกยิ่งได้รู้ซึ้งถึงความรักที่แม่มีต่อลูกมากขึ้นไปอีก
 ของขวัญวันเกิด...เกือบ 20 ปีมาแล้ว
จาก...ไอ้ตัวเล็กของแม่ : )
 ไอ้ตัวเล็กของแม่ กับ ไอ้ตัวเล็กของเรา
|