๒.แนวความคิดทางปรัชญาในคัมภีร์พระเวท อย่างที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น แนวความคิดทางศาสนาและปรัชญานั้น มีปรากฏร่องรอยอยู่ในคัมภีร์อารัณยกะและคัมภีร์อุปนิษัทเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่เราจะทราบว่า แนวความคิดทางปรัชญาในพระเวทมีอะไรบ้าง วิธีง่ายที่สุดก็คือต้องย้อนกลับไปดูรายละเอียดในคัมภีร์ดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษา เบื้องต้น ผู้เขียนไปใช้กรอบแนวความทางปรัชญาหลักโดยทั่วไป จากนั้นก็โยงไปตั้งคำถามกับคัมภีร์พระเวทว่า มีทัศนะอย่างไรกับประเด็นทางปรัชญาเหล่านี้ ซึ่งด้วยวิธีการอย่างนี้ เราก็จะได้ภาพแนวความคิดทางปรัชญาในคัมภีร์พระเวท โดยจะได้ประมวลนำมากล่าวโดยลำดับแต่พอสังเขปดังนี้ ๑. แนวความคิดเรื่องการสร้างมนุษย์ โลก และจักรวาล ถ้าจะตั้งคำถามว่า ชาวอารยันในยุคพระเวทมองเรื่องการสร้างมนุษย์ โลก และจักรวาลอย่างไร คำตอบ ดูเหมือนจะไม่ได้มีความแตกต่างจากชนชาติอื่นมากนัก ในนั่นคือมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ หรือยุคโบราณมักอธิบายเรื่องการสร้างมนุษย์ โลก และจักรวาลบนพื้นฐานความเชื่อแบบเทวนิยม คือมองเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์โดยอำนาจพิเศษบางอย่างซึ่งอยู่เหนือขอบเขตอำนาจของมนุษย์ ข้อความในคัมภีร์ฤคเวท ได้ระบุถึงการสร้างมนุษย์ โลก และจักรวาลโดยการระบุถึงพระอินทร์ในฐานะเป็นเอกเทวะที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างมนุษย์ โลกและจักรวาล การสร้างโลกเริ่มจากสิ่งที่เรียกว่า อสัต หรืออภาวะ ข้อความในคัมภีร์มีรายละเอียดดังนี้ ในตอนนั้นอภาวะไม่มี ภาวะก็ไม่มี อวกาศที่เต็มไปด้วยอากาศก็ไม่มี ท้องฟ้าที่อยู่พ้นอวกาศไปก็ไม่มี อะไรเล่าที่หุ้มห่อสิ่งทั้งปวงไว้? และมันอยู่ที่ไหน? อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของใคร? อะไรเล่าคือน้ำอันลึกจนหยั่งไม่ถึง ในเวลานั้นไม่มีความตาย แม้ความไม่ตายก็ไม่มี เครื่องหมายที่ทำให้เห็นว่ากลางวันกับกลางคืนแตกต่างกันก็ไม่มี สิ่งที่ครอบครองพลังชีวิตนั้นล้อมรอบด้วยสุญญากาศ คือสิ่งที่เป็นเอกเพราะอาศัยความร้อนที่เกิดจากความเคร่งครัดของมัน[1] ข้อความจากพระเวทข้างต้น ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จุดกำเนิดโลกนั้น เริ่มต้นจาก ความไม่มี คือว่างเปล่าจากสิ่งที่เรียกขานกันในปัจจุบัน สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่สิ่งที่มีมาก่อนแล้ว ความมีอยู่เป็นเรื่องที่เกิดทีหลังความไม่มี ยกตัวอย่างเช่นตึกหลังที่เราอาศัยอยู่นี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มี ความมีอยู่ของตึกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ปรัชญาพระเวทจึงอธิบายความมีอยู่ของโลก หรือจักรวาลบนพื้นฐานของ อสัต-สัต หรือ อภาวะ-ภาวะ ตั้งคำถามต่อไปอีกว่า เมื่อทุกอย่างเริ่มต้นจากความว่างเปล่า แล้วโลก หรือจักรวาลทั้งสิ้น ก่อกำเนิดมาได้อย่างไร คัมภีร์ฤคเวทได้เฉลยปริศนานี้ด้วยคำว่า ปุรุษะ ปุรุษะถือเป็นสิ่ง ๆ เดียวที่มี และแผ่ขยาย แทรกซึมอยู่ทั่วทุกอณู ปุรุษะเป็นสิ่งอมตะ ข้อความในคัมภีร์ระบุดังนี้ ปุรุษะมีพันเศียร พันตา พันเท้า ซึ่งแทรกซึมอยู่ทั่วไปโลกทุกแง่ทุกมุมนั้น ยังคงขยายนิ้วทั้งสิบไปเหนือโลกอยู่ ปุรุษะเท่านั้นเป็นทั้งหมดนี้ คือเป็นสิ่งที่ได้มีมาแล้ว และสิ่งที่กำลังจะมีเป็นต่อไป อนึ่ง ปุรุษะเป็นเจ้าแห่งอมฤตภาพ และเป็นใหญ่เหนือสิ่งที่เจริญเติบโตมาเพราะอาหาร นั่นแหละคือความยิ่งใหญ่ของปุรุษะ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็คือปุรุษะ สรรพสัตว์ทั้งปวงประกอบขึ้น เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของปุรุษะเท่านั้น อีกสามเสี้ยวเป็นอมตัยอยู่ในสรวงสวรรค์[2] ในคัมภีร์ฤคเวทได้พรรณนาต่อไปเพื่อให้เห็นพัฒนาการของการสร้าง โดยมีแก่น คือปุรุษะนี้เป็นพื้นฐานสำคัญ นับตั้งแต่จุดกำเนิดโลก จักรวาล และขยายไปถึงสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล โดยที่สุดก็คือมนุษย์ ขอให้พิจาณาข้อความจากคัมภีร์ต่อไป ด้วยเสี้ยวทั้งสามนี้แหละที่ปุรุษะได้ลอยสูงขึ้นไป อีกเสี้ยวหนึ่งยังคงอยู่ที่นี่ ด้วยเสี้ยวเดียวนี้แหละที่ปุรุษะได้ปกคลุมสิ่งที่กินได้ และสิ่งที่กินไม่ได้ทุกด้าน จากปุรุษะนี้แหละก็เกิดวิราชขึ้นมา จากวิราช ปุรุษะก็วิวัฒน์ ปุรุษะเมื่อเกิดขึ้นมา ได้ฉายตัวมันเองในที่เบื้องหลัง และเบื้องหน้าโลก.... เมื่อทวยเทพแบ่งปุรุษะออกไปนั้น ได้จัดแจงให้ปุรุษะมีส่วนต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด? อะไรที่เกิดจากปากปุรุษะ? อะไรเกิดจากแขนของปุรุษะ? ต้นขาทั้งสองของปุรุษะเรียกว่าอะไร? และเท้าทั้งสองของปุรุษะเรียกว่าอะไร? ปากของปุรุษะได้กลายเป็นพราหมณ์ แขนทั้งสองได้กลายเป็นราชันย์ ขาทั้งสองได้กลายเป็นไวสยะ พวกศูทร์เกิดจากเท้าทั้งสอง พระจันทร์เกิดจากจิต พระอาทิตย์เกิดจากนัยน์ตาทั้งสอง พระอินทร์และพระอัคนีเกิดจากปาก ลม (วายุ) เกิดจากลมหายใจ (ปราณ) บรรยากาศได้ถูกสร้างขึ้นมาจากสะดือ สวรรค์เกิดจากศีรษะ โลกเกิดมาจากเท้าทั้งสอง และทิศใหญ่ทั้งสี่เกิดมาจากหู ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ได้บันดาลให้เกิดโลกต่าง ๆ ขึ้นมา.....[3] ข้อความดังกล่าวข้างต้น ดูเหมือนยังเป็นปริศนา แม้ตัวคัมภีร์จะระบุเป็นการชัดเจนว่ามนุษย์ โลก จักรวาล และสรรพสิ่งกำเนิดมาจากอะไร แต่สิ่งที่คัมภีร์อ้างถึง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะอธิบายให้เป็นที่เข้าใจโดยปราศจากข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม จากโศลกข้างต้น ทำให้เราได้มองเห็นร่องรอยแนวคิดทางปรัชญาของพวกอารยันเกี่ยวกับเรื่องการสร้างมนุษย์ โลก และจักรวาลในระยะแรกเริ่ม เป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะของการสร้างมนุษย์ โลก และจักรวาลในคัมภีร์พระเวทมีร่องรอยแห่งวิวัฒนาการ คือไม่ใช่เป็นสร้างด้วยการ เสก ขึ้นแล้วเสร็จในคราวเดียวโดยพระผู้เป็นเจ้า ข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวท แม้บางโศลกบางตอนจะอ้างถึงการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่ในกระบวนการสร้างสรรค์นั้นก็มีร่องรอยของวิวัฒนาการ ซึ่งเป็นกระบวนการในเชิงเหตุปัจจัยซึ่งถือเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญของโลก ขอให้พิจารณาข้อความในคัมภีร์พระเวทต่อไปนี้ ...สวรรค์และโลกซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมันเนย เป็นผู้รุ่งโรจน์ก้าวล่วงสิ่งมีชีวิตทั้งปวง กว้างใหญ่ไพศาล เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทมธุรส มีรูปร่างสวยงาม เมื่อกล่าวตามกฎจักรวาลของวรุณเทพแล้ว สวรรค์และโลกย่อมถือพืชที่มีอยู่ชั่วกัลปาวสาน และที่อุดมสมบูรณ์ไว้คนละทาง สวรรค์และโลกที่ไม่รู้จักหยุดยั้ง มีลำธารมาหลายเต็มไปด้วยน้ำนมและเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่บริสุทธิ์นั้น ได้ประสิทธิ์ประสาทน้ำมันเนยแก่ผู้ที่ใจบุญ ข้าแต่สวรรค์และโลก พระองค์ทั้งสองทรงเป็นใหญ่ในการสร้างสรรค์นี้ ทรงหลั่งพืชซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งปวงให้พวกเรา ข้าแต่สวรรค์และโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นดุจภาชนะรองรับการสังเวยมรรตัยสัตว์ที่ได้ทำการบูชาเซ่นสรวงพระองค์ เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปนั้น เขาได้ประสบความสำเร็จ เขาได้เกิดใหม่โดยอาศัยลูกหลานของเขานั่นเองตามกฎของจักรวาล กาโมทกที่พระองค์ได้ทรงหลั่งลงมานั้น ก็ได้กลายเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างต่าง ๆ แต่ละชนิดก็ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มเปี่ยม สวรรค์และโลกเต็มไปด้วยน้ำมันเนย รุ่งเรืองด้วยน้ำมันเนย ระคนไปด้วยน้ำมันเนย เจริญเติบโตด้วยน้ำมันเนย สวรรค์และโลกซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลทั้งสองนี้ ได้มีอยู่ก่อนสมัยที่จะเลือกพระเข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นทางการ นักปราชญ์ทั้งหลายได้อุทธรณ์ต่อสวรรค์และโลกทั้งสองด้วยมีทัศนะว่า จะทูลขอให้สวรรค์และโลกประทานพรให้...[4] ...พระวรุณเทพทรงขยายอากาศขึ้นไปเหนือหมู่ไม้ พระองค์ได้ประทานความเข้มแข็งให้แก่ม้า ประทานนมให้แก่แม่วัว ประทานกำลังใจให้แก่หัวใจ ประทานไฟให้แก่น้ำ ประทานดวงอาทิตย์ให้แก่สวรรค์ และประทานน้ำโสมให้แก่ภูเขา พระวรุณเทพทรงเทถุงหนังสัตว์ให้มีปากเปิดคว่ำลงมายังสวรรค์และโลก และกลางภูมิภาค โดยวิธีนี้เองพระผู้เป็นใหญ่เหนือการสร้างสรรค์ทั้งมวลจึงทรงทำให้โลกที่ขยายออกไปนั้นมีความชุ่มชื้นอยู่ทั่วไปดุจฝนที่หลั่งลงมาทำให้ข้าวสดชื่นอยู่ ฉะนั้น พระวรุณเทพทรงทำให้โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลและสวรรค์ชุ่มชื่นเมื่อพระวรุณทรงทำให้โลกและสวรรค์เป็นน้ำนมแล้ว ภูเขาทั้งหลายก็จะเอาเมฆมาหุ้มห่อตัวเองไว้ และวีรบุรุษทั้งหลายที่แสดงความสามารถของตนให้ปรากฏก็จะทำให้เครื่องหุ้มห่อเหล่านั้นล่องลอยไป.....[5] ๒. แนวคิดเรื่องปุรุษะ วิญญาณ และอาตมัน ประเด็นที่น่าสนใจทางอภิปรัชญาที่สำคัญเรื่องหนึ่งนอกจากเรื่องของการสร้าง และถือเป็นรากฐานของการสร้างก็คือเรื่องปุรุษะ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังเรื่องของวิญญาณ และอาตมันอีกทอดหนึ่ง ปุรุษะ คืออะไร ในทัศนะของผู้เขียน คำนี้ถือเป็นคำปริศนา เราไม่มีทางทราบได้อย่างประจักษ์แจ้งว่า แรกเดิมทีเดียว เมื่อท่านเอ่ยคำนี้ขึ้นมานั้น บ่งถึง หรือระบุถึงอะไร และสิ่งนั้นมีสภาวะอย่างไร สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือกลับไปอ่านข้อความในคัมภีร์พระเวทอีกครั้ง แล้วก็จินตนาการ และก็ตีความตามมุมมอง ปุรุษะเท่านั้นเป็นทั้งหมดนี้ คือเป็นสิ่งที่ได้มีมาแล้ว และสิ่งที่กำลังจะมีเป็นต่อไป อนึ่ง ปุรุษะเป็นเจ้าแห่งอมฤตภาพ และเป็นใหญ่เหนือสิ่งที่เจริญเติบโตมาเพราะอาหาร นั่นแหละคือความยิ่งใหญ่ของปุรุษะ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็คือปุรุษะ สรรพสัตว์ทั้งปวงประกอบขึ้น เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของปุรุษะเท่านั้น อีกสามเสี้ยวเป็นอมตัยอยู่ในสรวงสวรรค์[6] ข้อความในคัมภีร์พระเวทระบุถึง ปุรุษะ ดังกล่าวข้างต้น สามารถตีความหมายได้ ๒ นัย ๑. ในแง่รูปธรรม ปุรุษะเหมือนกับสิ่งที่ปรัชญากรีกเรียกว่า ปฐมธาตุ คือเป็นธาตุพื้นฐานซึ่งกระจัดกระจายอยู่แล้วก่อนการอุบัติขึ้นของสรรพสิ่ง นักปรัชญากรีกโบราณอธิบายสิ่งนี้ในรูปของ น้ำ สิ่งอนันต์ อากาศ หน่วย หรือจำนวน ไฟ ภวันต์ สิ่งอนันต์ ปรมาณู และสุดท้ายก็มาลงที่อะตอม ถือเป็นความพยายามจะค้นหารากฐานของความมีอยู่ ซึ่งแม้จะไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพลาง ๆ ว่า ตัว ปุรุษะนี้แหละ คือ หน่วยพื้นฐานของสรรพสิ่ง มีอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งทั้งปวง ๒. ในแง่ของนามธรรม ปุรุษะเป็นเหมือนวิญญาณอมตะซึ่งแบ่งภาคออกจากวิญญาณปฐม จากข้อความในคัมภีร์พระเวท ทำให้ตีความได้ว่า วิญญาณปฐมนั้นมีอยู่ ๔ ส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งแบ่งภาคมาก่อกำเนิดเป็นสรรพสิ่ง สรรพสิ่งในโลกจึงเป็นส่วนที่ประกอบขึ้นจากวิญญาณปฐม เมื่อวิญญาณดังกล่าวนี้มาอยู่ในมนุษย์หรือสัตว์ เราก็เรียกว่าอาตมัน และเนื่องจากอาตมันเป็นหน่วยย่อยที่ถูกแบ่งภาคมา เราจึงเรียกวิญญาณปฐมที่ถือเป็นแหล่งกำเนิดเพื่อให้เห็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันว่า ปรมาตมัน สามส่วนที่เหลือจะอยู่ในส่วนที่เรียกว่าปรมาตมันนี้ บนพื้นฐานของความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็จะนำไปสู่ทัศนะทางปรัชญาเรื่องสัสตทิฏฐิ คือลัทธิที่เชื่อในเรื่องอมตภาพของวิญญาณ ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลต่อยุคสมัยเรื่อยมากระทั่งถึงพุทธกาล ๓. แนวความคิดเรื่องการเมืองการปกครอง แนวคิดเรื่องการเมืองการปกครองที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวทที่ผู้เขียนกล่าวในที่นี้ เป็นเรื่องของการตีความจากโครงสร้างของการสร้างเทพเจ้าที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวทนั่นเอง โดยเฉพาะในส่วนที่ถือว่าเป็นความคิดดั้งเดิมของชนเผ่าอริยกะ ซึ่งตามทัศนะของหลวงวิจิตรวาทการถือว่า การจัดโครงสร้างของเทพตามความเชื่อดังกล่าวนี้ เป็นการสร้างขึ้นตามลักษณะการปกครองของมนุษย์นั่นเอง[7] ดังนั้นแนวคิดเรื่องเทพเจ้าต่าง ๆ ในคัมภีร์พระเวท จึงมีนัยทางสังคมด้วย ชาวอริยกะดั้งเดิมนั้นนับถือเทพ ๔ องค์[8] คือ พระอินทร์ พระสาวิตรี พระวรุณ และพระยม โดยถือว่า เทพทั้ง ๔ องค์นี้ทำหน้าที่ดูแลรักษาโลกประจำทิศทั้ง ๔ และทำหน้าที่แตกต่างกันกล่าวคือ พระอินทร์ทำหน้าที่เป็นเทพสูงสุด มีที่ปรึกษาประจำพระองค์คือพระพฤหัสบดี พระวิรุณทำหน้าที่เป็นตำรวจ พระวรุณจะล่วงรู้การกระทำของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าดีหรือชั่ว ว่ากันว่า ถ้าคนสองคนปรึกษาความลับกัน พระวรุณก็จะมาคอยแอบฟัง และจับผู้นั้นส่งสาวิตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา จากนั้นจึงส่งให้พระยมเป็นผู้ลงโทษตามสมควรแก่ความผิดต่อไป ร่องรอยคำอธิบายดังกล่าว ถือว่าเป็นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการจัดรูปแบบการปกครองในยุคแรกเริ่มแบบง่าย ๆ พระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศ มีฐานะเป็นสมมติเทพ ท่านจึงใช้สัญลักษณ์พระอินทร์ พราหมณ์ปุโรหิตที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการต่าง ๆ ของประมุขของประเทศก็เปรียบเหมือนพระพฤหัสบดี เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองซึ่งได้แก่ทหาร ตำรวจ เปรียบได้กับพระวิรุณ เสนาบดี หรือเหล่าอำมาตย์ที่ทำหน้าที่พิพากษาอรรถคดีต่าง ๆ เปรียบได้กับพระสาวิตรี
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | มกราคม 2011 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | ||||||
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 |