*/
แมวดาว | ||
![]() |
||
แมวดาว |
||
View All ![]() |
กล้วยไม้กับเพลง นางฟ้าจำแลง | ||
![]() |
||
นางฟ้าจำแลง เพลงของสุนทราภรณ์ |
||
View All ![]() |
<< | กรกฎาคม 2014 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
# เยี่ยม "วิมานใจ" แหล่งน้ำพุร้อนโจซังเก หลังจากตระเวนไปตามแหล่งท่องเที่ยวของภาคใต้ฮอกไกโดตลอด 3 วันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ ฟาร์มโคนม สวนผลไม้ ตลาดปลาทะเล แหล่งช็อปปิ้ง ฯลฯ วันที่ 4 ของการเดินทางก็ดูจะผ่อนคลายลง เหมือนการท่องเที่ยวญี่ปุ่นจะรู้ว่าพลพรรคนักเดินทางชาวไทยมีอาการเมื่อยล้ากันพอสมควร (ยกเว้นผมที่ยังฟิตอยู่) ดังนั้น ก่อนเดินทางกลับแดนสยาม จึงจัดโปรแกรมแบบสบายเนื้อสบายตัวไว้ให้ วันนี้เราออกจากเมืองนิเซโกะ ในเวลาไม่เช้าไม่สาย มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโด มาฮอกไกโด 3 วันแล้วยังไม่มีโอกาสชมเมืองที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญของเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศเป็นหนึ่งในเมืองใหม่ที่สุดในญี่ปุ่น และไม่ไกลจากสนามบินชิน-ชิโตะเซะ ซึ่งเราจะต้องมาขึ้นเครื่องบินของการบินไทย เจ้าของสโลแกน "รักคุณเท่าฟ้า" กลับบ้านในวันสุดท้ายของโปรแกรม ระหว่างทางไปเมืองซัปโปโร เราแวะเยี่ยมชมสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งผมชื่นชอบมากเป็นพิเศษ นั่นคือ "ออนเซ็น" เล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองโจซังเก (Jozankei) เมืองนี้ห่างเพียงหนึ่งชั่วโมงจากซัปโปโร อันว่าเมืองโจซังเก นี้ นักท่องเที่ยวไทยหลายคนที่มีโอกาสไปสัมผัส บอกว่า เป็นเมืองขนาดเล็กแต่ดูอบอุ่น น่ารัก และสงบ ที่สำคัญมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่มาก
ฮอกไกโดมีออนเซ็นจำนวนมากและมีชื่อเสียง เพราะฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็น ออนเซ็นที่ทำให้กายและใจรู้สึกอบอุ่น จึงเป็นที่นิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ออนเซ็นของเมือง โจซังเก ถือเป็นแหล่งออนเซ็นชั้นแนวหน้าของฮอกไกโดอีกเมืองหนึ่ง มีนักเดินทางไปใช้บริการแช่น้ำร้อนกันมากในแต่ละปี เพราะความที่ไม่ห่างจากซัปโปโรมากนัก ทำให้การเดินทางไปถึงสะดวกมากๆ ส่งผลให้ความเจริญด้านวัตถุแพร่ขยายมาถึงเมืองขนาดเล็กแห่งนี้อย่างค่อนข้างรวดเร็ว เมืองโจซังเก เนื่องจากขึ้นชื่อลือชาในเรื่องออนเซ็น จึงมักได้ยินได้เห็นการเรียกชื่อเมืองนี้อีกอย่างหนึ่งว่า " Jozankei-onsen" ผม ไปค้นที่มาที่ไปของเมืองนี้ดู ปรากฎว่า สมัยก่อนเป็นหมู่บ้านน้ำพุร้อนเล็กๆ ใจกลางหุบเขาเขียวขจีในฤดูร้อน (ถ้าเป็นฤดูหนาวก็เต็มไปด้วยหิมะเช่นกัน) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ชิโกซึ -โทย่า ระหว่างหน้าผาสูงของแม่น้ำโตโยฮิระ ตามประวัติออนเซ็นเมืองนี้ http://www.japancheckin.com/ บอกว่า เมื่อ 150 ปีที่แล้ว มีพระรูปหนึ่งชื่อ มิอิซูมิ โจซัง เป็นผู้ค้นพบแหล่งน้ำพุร้อนจากการนำทางของชาวไอนุ (ชนพื้นเมืองของญี่ปุ่น) ระหว่างธุดงค์ ในสมัยนั้นบริเวณพื้นที่แห่งนี้ยังอุดมไปด้วยสัตว์ป่าและต้นไม้สูงใหญ่ ท่านต้องบุกป่าฝ่าดงตัดต้นไม้ทำทางเดินเพื่อให้คนเจ็บและคนป่วยได้ ใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อน แถมยังให้ทางการช่วยส่งเสริมสนับสนุนหมู่บ้านโจซันเก กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งพักผ่อนรักษาตัวอีกด้วย ด้วยความตั้งใจจริงของพระมิอิซูมิ โจซัง และประสิทธิภาพของน้ำพุที่มีต่อการรักษาโรค จึงทำให้แหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้ชื่อเสียงกระจายไปทั่วเกะฮอกไกโด บริเวณนี้ป็นแหล่งที่พักชั้นดีสำหรับคนทำงานเหมืองหินและป่าไม้ รวมไปถึงพ่อค้าที่มาจากแดนไกลร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกจึงค่อยๆเปืดกิจการต้อนรับผู้มาเยือน พอมีชื่อเสียงเรื่องออนเซ็นขึ้นมา นักเดินทางก็ไหลมาเทมายังเมืองโจซังเก ร้านอาหารและร้านค้าก็ผุดขึ้นมาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาอาบแช่น้ำพุร้อน การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 500-1,500 เยน นอกจากนี้ห้องอาบน้ำเท้าฟรี สามารถพบได้รอบเมืองโดยทั่วไป สัญลักษณ์ของเมืองโจซันเก คือ กัปปะ (kappa ) อันว่ากัปปะนี้ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตามตำรานั้นบอกว่า เป็นภูตน้ำญี่ปุ่น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบตัวสีเขียว ถูกนำไปเป็นตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังหลายเรื่อง เกริ่นนำมาตั้งนาน ยังไม่ได้เล่าเรื่อง ร้านออนเซ็นแบบญี่ปุ่นที่ไปสัมผัสมาเลย เป็นร้านแช่ออนเซ็นเท้าชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า โคโคโระโนะ ซาโตะ โจซัง (Kokoro No Sato Jouzan) แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า hometown of the heart (ขออนุญาตถอดความเป็นไทยว่า"วิมานใจ" ) เชื่อว่าหลายคนรู้สึกเหมือนผม คือ พอลงจากรถบัสปั๊บ เห็นร้านปึ๊บ ก็ชอบขึ้นมาทันที รอบออนเซ็นแห่งเป็นสวนขนาดเล็ก ก่อนเข้าไปโซนด้านใน ขอเดินชมเสียหน่อย มีนกหินถูกจัดวางไว้หลายตัว กระรอกหินก็มีให้ชม เลยถือโอกาสเก็บภาพมาฝากกัน ร้านแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ สวนขนาดเล็กน่ารัก มีเก้าอี้ไม้เก่าๆแต่ดูดีมีสไตล์น่าหย่อนก้นลงไปนั่งยิ่งนัก ส่วนอีกโซนเป็นออนเซ็นแช่เท้าอยู่ด้านหลัง มีต้นเมเปิ้ลขึ้นแผ่กิ่งก้านปกคลุม ใบรูปแฉกเป็นสีส้ม กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงทีเดียว บรรยากาศดูธรรมชาติมากๆ ด้านในเป็นห้องนั่งเล่น ตกแต่งได้คลาสสิคมากๆ มีหนังสือแนวธรรมชาติให้อ่าน (แม้เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ภาพก็ให้ความเพลิดเพลินมากๆ ) มีดนตรีเบาๆให้รีแล็กซ์ มีคุ๊กกี้ ขนมปัง ชา กาแฟให้ทานเล่น หรือจะทานแบบจริงจังก็ได้ (เช่นผมเป็นต้น-ก็ขนมอร่อยนี่ครับ ใครจะอดใจไหว) Kokoro no Sato Jouzan หรือ" วิมานใจ" เปิดต้อนรับทั้งคนในเมืองและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นเหมาะสำหรับคนที่ชอบหรือแสวงหาความสงบ จะนั่งแช่เท้า นั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือ ทั้งด้านนอกด้านในก็สามารถทำได้ตลอดทั้งวัน ค่าบริการก็ถูกแสนถูกมากเพียง 1,000 เยนต่อวัน หรือประมาณ 320 บาทเองครับ ถูกอย่างเหลือเชื่อเมื่อเทียบกับอัตราค่าครองชีพที่สูงลิ่วในญี่ปุ่น อากาศสบายๆในฤดูร้อนที่เมือง Jozankei ได้นั่งเอาเท้าแช่ออนเซ็น ทานคุ๊กกี้ชาเขียวอร่อย ตบตูดด้วยชาเปปเปอร์มิ้นต์เย็นๆ ดูใบเมเปิ้ลสีส้มอมแดง ฟังเสียงน้ำตกเล็กๆไหลระริกซอกซอนไปตามโขดหิน ไพเราะเหมือนดนตรีธรรมชาติ ...ช่างผ่อนคลาย ช่างบางเบารู้สึกสบายกายสบายใจจริงๆ # ลองลิ้มชิมรส "มิโซะราเม็ง" นั่งเล่น นอนเล่น แช่เล่น ด้วยความเพลิดเพลินที่"วิมานใจ" อยู่หลายชั่วโมง ก็ต้องออกเดินทางไปรับประทานมื้อเที่ยงกันอีกแล้วคราวนี้ถือว่าเป็นเมนูอาหารที่ตั้งใจไว้ว่า มาถึงญี่ปุ่นทั้งทียังไงก็ต้องลองชิมจากฝีมือต้นตำรับให้จงได้ เพราะเคยลองลิ้มชิมรสก็แต่ในเมืองไทยเท่านั้น ไม่ใช่อื่นไกลก็"ราเม็ง"หรือบะหมี่ญี่ปุ่น นั่นเอง แล้วเมืองซัปโปโร ก็ขึ้นชื่อเรื่อง ราเม็ง มานานแสนนาน และ มิโซะราเม็ง นั้น ก็ถือกำเนิดมาจากเมืองซัปโปโรเสียด้วย เรียกว่าผมมีโอกาสไปชิม "มิโซะราเม็ง" กันถึงเมืองต้นกำเนิดกันเลยทีเดียว ในวิกิพีเดียบอกว่า "ราเม็ง" เป็นบะหมี่น้ำของญี่ปุ่น มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน (ไม่รู้ชาวญี่ปุ่นเห็นด้วยไหม) มักจะทานคู่กับเนื้อหมู สาหร่าย คะมะโบะโกะ ต้นหอม และบางครั้งจะมีข้าวโพด ราเม็งมีการปรุงรสแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัดในญี่ปุ่น เช่นในเกาะคีวชู ต้นกำเนิดของทงโคสึราเม็ง (ราเม็งซุปกระดูกหมู) หรือในเกาะฮกไกโด ต้นกำเนิดของมิโซะราเม็ง (ราเม็งเต้าเจี้ยว) อยู่เมืองไทย ผมชอบสั่งแต่ราเม็งรสต้มยำ แต่เมื่อมาเยือนถึงเมืองซัปโปโร ยังไงก็ไม่พลาดสำหรับมิโซะราเม็ง ที่ปรุงรสน้ำซุปด้วยมิโซะ(เต้าเจี้ยวบด) ซึ่งถือเป็นซุปมาตรฐานของคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว บางร้านมีหมูตุ๋นซีอิ้วญี่ปุ่น (ชาชู) ชิ้นโต เห็นว่าในซัปโปโรนั้นมีร้านราเม็งอร่อยๆอยู่เป็นจำนวนมาก ถือเป็นเมนูขายดีของเมืองนี้กันเลยทีเดียว ถึงกับมีการตั้งเป็นถนนราเม็งขึ้นมาในย่านที่มีร้านขายบะหมี่ประเภทนี้ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่าราเม็งของร้าน Bistro Japonais ที่ททท.ฮอกไกโด พาเราไปกินมื้อกลางวันนั้น จัดอยู่ในระดับไหน อร่อยมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องลองชิมกันดูครับ รออยู่ไม่นาน ทางร้าน Bistro Japonais ก็เสิร์ฟมิโซะราเม็ง ชามใหญ่มาให้ กลิ่นหอมหวลรัญจวนใจมาก ชิมดูแล้วน้ำซุปเข้มข้นถูกใจ เนื้อหมูก็นุ่มอร่อยไม่แข็งกระด้าง ส่วนเส้นดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าเส้นราเม็งในเมืองไทย สรุปว่ารสชาติกลมกล่อมจริงๆไม่ผิดหวังครับ เรียกว่าซดจนหยดสุดท้าย แล้วกินชามเดียวก็อิ่มแท้แน่นอน ไม่ต้องสั่งรอบ 2 เพราะร้านที่นี่เสิร์ฟมาชามใหญ่กว่าร้านราเม็งที่เมืองไทยประมาณเท่าตัว # ไหว้พระศาลเจ้าฮอกไกโด หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมิโซะ ราเม็ง แสนอร่อยกันแล้ว ชีพจรเดินทางก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายปลายทางของคณะเราอยู่ที่ศาลเจ้าฮอกไกโด หรือ วัดฮอกไกโดจิงกุ หรือที่ใช้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า HOKKAIDO JINGU Hokkaido Shrine เป็นวัดในศาสนาชินโต ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะมารุยามะ ในเมืองซัปโปโร มาถึงฮอกไกโดตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ได้เข้าวัดเข้าวาไปไหว้พระกันเลย การเดินทางไปยังศาลเจ้าฮอกไกโด จึงถือเป็นโอกาสอันดีทีเดียวครับ อยากรู้เหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นไหว้พระเหมือนคนไทยเราไหม ก่อนไปไหว้พระไหว้เจ้า ก็นำเสนอประวัติความเป็นมากันสักหน่อยครับ ศาลเจ้าฮอกไกโด นี้เดิมชื่อศาลเจ้าซัปโปโร ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นศาลเจ้าฮอกไกโด เพื่อให้สมกับความยิ่งใหญ่ของเกาะเมืองฮอกไกโดที่มีศาลเจ้าชินโตนี้ คอยปกปักษ์รักษาให้ชนชาวเกาะฮอกไกโดมีความสงบสุข ถึงแม้ไม่ได้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเก่าแก่นับพันปี แต่ที่นี่ก็เป็นที่สำหรับให้คนท้องถิ่นได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ศาลเจ้าฮอกไกโด สร้างในสมัยจักรพรรดิเมจิ ปี 1920 หรือในปี ค.ศ. 1896 ในยุคที่มีการเริ่มพัฒนาเกาะฮอกไดโดใหม่ๆ เป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางความเคารพนับถือของชาวเมืองซัปโปโร ซึ่งมักจะมาประกอบพิธีทางศาสนาที่นี่คงคล้ายๆ ศาลหลักเมือง ของบ้านเรา ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกๆปี ชาวฮอกไกโด จะจัดเทศกาลแห่ศาลเจ้าฮอกไกโด หรือที่เรียกกันว่า Sapporo Festival มีชาวเมืองและนักท่องเที่ยวไปร่วมงานกันเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยมีขบวนแห่ของชาวเมืองที่แต่งกายย้อนยุคในสมัยญี่ปุ่นโบราณประกอบไปด้วยผู้รวมแห่กว่า 1,000 คน เริ่มต้นขบวนแห่จากศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ฝั่งสวนมารุยามะ ไปยังใจกลางเมืองซัปโปโร ศาลเจ้าแห่งนี้มีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง มีต้นซากุระราว 1,500 ต้นขึ้นเรียงรายอยู่ภายใน นึกภาพไม่ออกเลยครับว่า หากซากุระพร้อมใจกันผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นภาพที่งดงามขนาดไหน ขนาดเราไปสัมผัสบรรยากาศในช่วงฤดูร้อน ยังรับรู้ได้ถึงความร่มรื่นและเงียบสงบ อย่างที่บอกไปแล้วความงดงามของดอกซากุระของทีนี่ มีการจัดเป็นเทศกาลชมดอกซากุระขึ้นมาด้วย เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาบันทึกภาพกันมากมาย เนื่องจากรอบๆศาลเจ้า เป็นสวนสาธารณะอันร่มรื่น มีเสียงนกร้องเพลงให้ได้ยินตลอดเวลาที่ก้าวเท้าจากปากทางเข้าสู่ด้านในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของศาลเจ้า เสมือนหนึ่งเป็นการเตรียมใจเตรียมกายเพื่อศักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนถึงตัวศาลเจ้า จะมีบ่อน้ำเล็กๆ สร้างขึ้นเพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาดก่อน อันเป็นธรรมเนียมของชาวฮอกไกโดก่อนเข้าไปไหว้ในศาลเจ้า ผมเห็นชาวญี่ปุ่นหลายคนกำลังก้มๆเงยๆอยู่ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น สอบถามเจ้าหน้าที่ททท.ฮอกไกโด ได้ความว่า เป็นการชำระล้างกายและใจตามธรรมเนียม โดยทั้งผู้ชายและผู้หญิงปฏิบัติเหมือนกันหมด คือ 1.ใช้มือขวารองน้ำใส่กระบวยไม้ที่จัดไว้ให้ แล้วรดลงที่มือซ้าย พระพุทธศาสนาในประเทศนี้แบ่งออกเป็นหลายนิกาย นิกายที่สำคัญมี 5 นิกาย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพระสงฆ์ในญี่ปุ่นจะมีหน้าที่หลักเพียงประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ผมไปค้นเจอข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตมาเกี่ยวกับพระสงฆ์ญี่ปุ่น ประมาณว่า ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นคือนิกายมหายาน การบวชเป็นพระถือเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง พระเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และดูแลกิจการของวัด พระญี่ปุ่นสามารถดำเนินชีวิตและมีครอบครัวเช่นเดียวกับผู้คนทั่วไปได้ ในขณะที่พระไทยจะนุ่งจีวรอยู่ตลอดเวลา แต่พระญี่ปุ่นจะนุ่งห่มจีวรเมื่ออยู่ที่วัด หรือเมื่อประกอบพิธีทางศาสนา เวลาเดินทางไปที่อื่นๆพระญี่ปุ่นจะแต่งกายเช่นเดียวกับคนทั่วไป ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น จึงไม่ค่อยได้พบเห็นพระสงฆ์มากเท่าคนไทย ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่น นับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับชินโต มีไม่น้อยที่นับถือศาสนาคริสต์ ไม่นับถือศาสนาก็มีโดยหันไปบูชาลัทธิทางการเมืองแทน (เหมือนไทยเป๊ะ) หลังจากเดินขึ้นบันไดหลายขั้นผ่านซุ้มประตูขนาดใหญ่เข้าสู่ภายในศาลเจ้าแล้ว ทางขวามือจะเป็นร้านขายเครื่องรางในรูปลักษณ์ต่างๆกัน รวมทั้งวัตถุมงคล (ไม่รู้คนญี่ปุ่นเรียกแบบคนไทยหรือเปล่า ) เห็นมีคนญี่ปุ่นและคนไทยซื้อกันไปบูชากันหลายคน ยันต์รูปการ์ตูนก็มีจำหนาย เช่น ยันต์ลายคิตตี้ เท่าที่สอบถามดู เครื่องรางแต่ละชิ้นจะเขียนอธิบายเกี่ยวกับการป้องกันเหตุร้ายบ้าง ส่งเสริมดวงชะตาบ้าง ถัดไปก็จะเป็นร้านจำหน่ายป้ายเขียนอวยพร เป็นแผ่นไม่ขนาดเล็ก ทางร้านจัดเก้าอี้ โต๊ะ พร้อมปากกาไว้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก เขียนคำอวยพรลงไปแล้ว ก็เอาไปแขวนไว้ตรงส่วนที่วัดจัดให้ เป็นโครงไม้สี่เหลี่ยมมีตะปูตอกไว้สำหรับแขวนป้าย หากไม่รู้จะส่งพรไปให้ใคร ก็สามารถอวยพรให้ตัวเองได้ คิดว่าไม่น่าผิดกติกาแต่อย่างใด ผมเขียนอยู่ป้ายอวยพรอยู่ป้ายหนึ่ง ส่งความปรารถนาดีไปให้ครอบครัวที่เมืองไทย อยู่ไกลกันหลายวันก็ย่อมคิดถึงกันเป็นธรรมดา เสร็จสรรพก็ตามคณะผู้ร่วมเดินทางไปที่ศาลเจ้า เห็นคนญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงยืนไหว้พระ(บางคนก็บอกว่าไหว้เจ้า)กันอยู่ วิธีไหว้พระก็ไม่เหมือนคนไทย แต่ก็มีความตั้งใจ สงบสำรวม และเป็นเอกลักษณ์ดี เท่าที่สังเกตุดูหนุ่มคนหนึ่งที่มาไหว้พระ เขาหยิบเอาเหรียญ 5 เยนที่มีรูตรงกลาง เดินไปหย่อนเงินลงตู้บริจาคด้านหน้าแท่นบูชาอย่างนุ่มนวล แล้วก็ถอยออกมายืนตัว โค้งคำนับ และยกมือขึ้นเสมออกแล้วปรบมือ 2 ครั้ง ประกบมือแล้วก็อธิษฐาน ก่อนคำนับลาอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี เห็นมีคำอธิบายเรียกขั้นตอนสวด มนต์แบบญี่ปุ่นว่า "คำนับ 2 , ปรบมือ 2" สอบถามผู้รู้ได้ความว่า อันเหรียญ 5 เยนนั้น คนญี่ปุ่นมักนำไปไหว้พระ เชื่อว่าจะนำพาความโชคดีมาให้ ส่วนผมไม่มีเงินเหรียญ 5 เยน เลยไม่กล้าไหว้พระแบบญี่ปุ่น ได้แต่ยกนิ้วขึ้นพนมมือเป็นรูปดอกบัว นึกถึงคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แล้วก็สวดมนต์ขึ้นตามที่ได้ ร่ำเรียนมากับครูบาอาจารย์ นอกจากนั้น ก็มีเสี่ยงเซียมซี หรือญี่ปุ่นเรียกว่า โอมิกุจิ (Omiguji) ได้คำนายดีๆหรือสร้างสรรค์จรรโลงใจก็เก็บไว้ แต่หากได้คำทำนายไม่ดีก็เอาไปแขวนฝากไว้ที่วัดนั่นแหละ ไม่ต้องเอากลับบ้าน ทางวัดจัดที่แขวนไว้ให้เสร็จสรรพเช่นเดียวกับป้ายเขียนอวยพร แต่แยกโซนกันชัดเจน ละทางธรรมก็เข้าสู่ทางโลก ออกจากศาลเจ้าฮอกไกโด ก็มีโปรแกรมพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวของฮอกไกโดกลุ่มใหญ่ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในหลายเรื่อง ผมก็ชมไปหลายประเด็น มีวิจารณ์อยู่กรณีเดียว คือ กาแฟสด ...เพราะกาแฟที่เสิร์ฟตามโรงแรมหรือขายตามร้านสะดวกซื้อในฮอกไกโด มันหาประเภทอร่อยๆ ยากเหลือเกิน ทั้งๆความจริงแล้วในคนญี่ปุ่นมีความละเมียดละมัยในการดื่มกาแฟมาก การชงกาแฟแบบ Syphon Coffee ซึ่งให้รสชาติกาแฟสดที่กลมกล่อมมาก ก็ได้รับความนิยมแพร่หลายในประเทศนี้ แน่นอนว่าแม้ชาจะเป็นสุดยอดแห่งจุดขายของญี่ปุ่น แต่นักท่องเที่ยวไม่ได้จิบชาอย่างเดียว เขาดื่มกาแฟสดกันด้วย มันเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนทั่วโลกไปแล้ว พอแดดร่มลมตก เราก็ซาโยนาระเจ้าหน้าที่ททท.ฮอกไกโด เพื่อไปทำกิจกรรมสุดท้ายของทริป เราเดินผ่านสวนสาธารณะที่น่ารักและร่มรื่น ออกไปขึ้นรถไฟเจอาร์ เป้าหมายอยู่ที่ ซุซุกิโนะ ย่านการค้าที่สุดโด่งดังในเมืองซัปโปโร ขึ้นชื่อว่าเป็น ”ถนนที่ไม่เคยหลับใหล” ของเกาะฮอกไกโด บนถนนสายนี้มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่มากมาย ตั้งแต่ระดับไฮโซไปจนถึงโลโซ สินค้าก็เยอะแยะนับไม่หวาดไม่ไหว เหมาะสำหรับดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง แต่ผมชอบเตร่ไปเตร่มายามค่ำคืน เดินดูสีสัน บรรยากาศ และวิถีของผู้คนมากกว่า คืนสุดท้ายของการพักผ่อนหลับนอนที่ซัปโปโร ก่อนขึ้นเครื่องการบินไทยกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น ผมลองคิดดูเล่นๆว่า มาฮอกไกโดครั้งนี้ ได้เห็นอะไรบ้างที่ต่างไปจากบ้านเรา ก็มีอยู่หลายอย่างนะ เช่น ตู้ขายของอัตโนมัติมีวางอยู่ทุกตรอกซอกซอย โถส้วมเป็นระบบฉีดอัตโนมัติ ฝารองนั่งโถส้วมติดตั้งระบบทำความอุ่น น้ำประปาดื่มได้ น้ำชารสจืด ผลไม้เมืองหนาวแสนอร่อย ไอศรีมหวานมัน ชาเชียวอร่อยสุดๆ ร้านเซ็กซ์ช็อปอยู่ในห้างใหญ่ ระบบขนส่งมวลชนสะดวกสบาย รถไฟมาตรงตามเวลา คนเข้าคิวต่อแถวทุกเรื่อง ซูเปอร์มาเก็ตมีอาหารให้เลือกชิม ผู้คนมีระเบียบวินัย ผู้คนในชนบทเปี่ยมมิตรไมตรี บ้านเมืองมีความปลอดภัยสูง รับผิดชอบในการทำงานตามคำสั่ง (ไฮๆๆๆลูกเดียว) ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน รถยนต์เป็นไซส์ซิตี้คาร์ ขับยวดยานไม่เร็ว ไม่มีบีบแตรหรือเหยีบบคันเร่งไล่คนข้ามถนน ปั่นจักรยานกันมาก เหรียญมีรูตรงกลาง ขนมล่อใจเด็กๆและผู้ใหญ่เยอะมาก แพ็คเกจจิ้งมีราคาสูงกว่าขนมข้างใน ใช้ภาษาอังกฤษกันน้อย มีออนเซ็นทุกโรงแรม ลูกค้าเดินเข้าร้านไม่มีเดินตามคุมทุกฝีก้าว ระบบบริกรดีเยี่ยม พนักงานแคชเชียร์มากมารยาท(โค้งมันเรื่อยจนรู้สึกเกรงใจ) พนักงานโรงแรมตามโบกมืออำลาลูกค้าจนกว่ารถทัวร์ลับสายตา มีเบียร์ท้องถิ่นหลายยี่ห้อ ไวน์แดงพื้นเมืองขวดเล็ก ผู้หญิงหน้าตาดีกว่าผู้ชาย มีประชากรอีกาจำนวนมากอาศัยอยู่ในเมือง (ไทยเป็นนกพิราบ) ...เอาแค่นี้ก่อน ถ้านึกอะไรออก จะเข้ามาเพิ่มเติมอีกครับ อ่อ..เพิ่งรู้ว่าวิธีจับตะเกียบคีบอาหารของผมไม่เหมือนคนญี่ปุ่น ป.ล.(1) ขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปและเจ้าหน้าที่ททท.ฮอกไกโดที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความสุขและสนุกสนาน # สัมผัส...ฮอกไกโด ช่วงเวลาแห่งไออุ่น ตอน 1 # สัมผัส...ฮอกไกโด ช่วงเวลาแห่งไออุ่น ตอน 2 # สัมผัส...ฮอกไกโด ช่วงเวลาแห่งไออุ่น ตอน 3 Thank you very much everyone for an unforgettable experience A Whiter Shade Of Pale (Fingerstyle Guitar) |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |