ในชั้นที่ผมเรียน (ม.๕) มีงานในวิชางานธุรกิจให้เขียนบทความเรื่อง ธุรกิจกับวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งผมได้นำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เนื่องจากผมไม่ได้ลงบทความที่บล็อกนี้นานแล้วและก็ไม่มีเวลาเขียนใหม่ด้วย จึงอยากนำเสนอแนวคิดที่เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ชาวโอเคเนชั่นดูครับ... ลองอ่านดูแล้วกันครับว่าบทความของผมเป็นอย่างไรบ้าง
ธุรกิจ (Business) ตามความคิดรวบยอด (concept) ที่ผมได้จากการเรียนวิชางานธุรกิจนั้นหมายถึง การกระทำหรือกิจกรรมต่างๆ ที่จัดทำขึ้นเพื่อหวังผลกำไร และต้องประกอบด้วยการผลิต การจำหน่าย และการให้บริการ. การดำเนินชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ปฐมวัยจวบจนปัจฉิมวัยหรือเริ่มตั้งแต่เกิดจนตายนั้น จะต้องเชื่อมโยงกับการจับจ่ายใช้สอยไม่ว่าจะในทางใดทางหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็คือปัจจัยพื้นฐาน อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ซึ่งต้องแสวงหามาด้วยการจับจ่ายใช้สอย. คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้ เงินตรา ได้ เนื่องด้วยความเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือที่ สมานฉันท์ กันเรียกว่าเป็น ความเจริญรุ่งเรือง นั้น ได้ทำให้ปัจจัยในการแลกเปลี่ยนสิ่งของในมนุษย์โดยปรกติเป็น เงินตรา. ส่วนพฤติกรรม ยื่นหมูยื่นแมว หรือหมูไปไก่มา อย่างที่เคยใช้ในอดีตกาลนั้น เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนครั้งคราว เพราะเราคง (แทบจะ) ไม่สามารถเดินถือขวดเปล่าหรือหนังสือพิมพ์เก่า ซึ่งที่ว่าเป็นของมีค่า (ปริวรรตเป็นเงินได้) ไปเดินแลกหมูเห็ดเป็ดไก่ในตลาด เพราะสิ่งที่แม่ค้าพ่อค้าต้องการก็คือ เงิน ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลองดูครับ. (แต่ผู้เขียนขอเตือนให้ระวังมีดปังตอด้วยนะครับ...J) ที่อรรถาธิบายมาเสียยืดยาวนี้เพราะผมพยายามทำให้ท่านผู้อ่าน สมานฉันท์ กันว่า เงินตรา เป็นสิ่งจำเป็น และจากนี้ไปผมจะขอเชื่อมโยงเรื่องความสำคัญของ เงินตรา เข้าสู่ประเด็น ธุรกิจกับวิถีชีวิตของคนไทย เพื่อจะได้เข้าเรื่องของเรา (สักที). จากที่กล่าวไปแล้วว่าชีวิตประจำวันต้องมีการจับจ่ายใช้สอย และการจับจ่ายใช้สอยก็จำเป็นต้องใช้เงินตรา คำถามต่อไปก็คือว่า แล้วเงินตรามายังไง ? คำตอบที่ดีที่สุด (ในสายตาผม) ก็คือ เงินตราก็ต้องได้มาจากการทำงาน. การทำงานในทรรศนะของผมมีสองลักษณะใหญ่ๆ ก็คือ การรับราชการ และการทำธุรกิจ สำหรับการรับราชการนี้ผมไม่ขอกล่าวถึงเนื่องจากไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเรื่อง มิฉะนั้นผู้อ่านจะว่าเอาได้ว่าผม นอกเรื่อง. (แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นเพราะผมไม่มีปัญญาจะเขียนก็ได้ ฮิๆๆ) ฉะนั้นการทำงานที่จะได้เงินตรานั้นส่วนหนึ่งก็ต้องมีการทำธุรกิจ เพราะโดยจุดหมายหลักของการทำธุรกิจ ก็คือ หวังผลกำไร ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาผมจึงสามารถอ้างได้ (โดยไม่ต้องยึดหลักสมานฉันท์เพื่อประเทศชาติหรือ ๑๙ ล้านเสียง แต่อย่างใด) ว่า ธุรกิจจำเป็นต่อมนุษย์. สรุปแล้วก็คือมนุษย์จำเป็นต้องจับจ่ายใช้สอย การจับจ่ายใช้สอยจำเป็นต้องใช้เงิน และเงินมาจากการทำธุรกิจ ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ธุรกิจจำเป็นต่อมนุษย์ ดังแผนภาพ
มาถึงตรงนี้ผู้อ่านอาจมองว่าผมยังมิได้ตอบโจทย์ซึ่งเป็นหัวข้อเรื่องที่ผมยกมาก็คือ ธุรกิจกับวิถีชีวิตของคนไทย แต่ผมกลับคิดว่าผมได้อธิบายโดยพิสดารไปแล้วว่า ธุรกิจจำเป็นต่อมนุษย์ ซึ่งมันสามารถตอบโจทย์ที่ว่า ธุรกิจสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทยอย่างไร ? ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ที่กว้างออกไปได้อีกว่า ธุรกิจสำคัญกับวิถีชีวิตของคนทั้งโลกอย่างไร ? ได้อีกด้วย. เพราะคงไม่มีใครกล้าเถียงผมได้ว่า คนไทยไม่ใช่มนุษย์ (คน) ก็ในเมื่อคนไทยเป็นมนุษย์ และธุรกิจก็สำคัญต่อมนุษย์ แม้ไม่ต้องใช้สมบัติการถ่ายทอดทางเหตุผล (ซึ่งไม่รู้มีจริงหรือเปล่า) ผมก็ขอสรุปว่า ธุรกิจมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทย. ตามความเห็นของผม (อีกแล้ว) ผมคิดว่าการอธิบายความที่ดีไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อยืดยาว เพราะความยาวของงานเขียนมิได้บ่งบอกความเข้าใจของผู้เขียน หากแต่การอธิบายที่ดีขึ้นอยู่กับ ข้อมูล และ การเชื่อมโยงเหตุผล จะเห็นได้ว่าในบทความนี้ไม่มีข้อความใดเลยที่ได้อธิบายว่า ธุรกิจกับวิถีชีวิตของคนไทยสัมพันธ์กันอย่างไร ? แต่ถ้าอ่านดูให้ดีแล้ว ผมได้แฝงเหตุและผลไว้เรียบร้อยแล้ว นี่แหละครับที่เรียกกันว่า การตีความระหว่างบรรทัด... สวัสดีครับ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๐ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | ธันวาคม 2007 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | ||||||
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 |