บทความนี้เป็นงานที่อาจารย์มอบหมายให้ทำในวิชาเศรษฐศาสตร์ (ชั้น ม.๕) ตอนแรกผมกะจะเขียนเล็ก ๆน้อยๆ พอส่งๆ ไป แต่พอวิญญาณคนปากมากเข้าสิงก็เลยลื่นไหลมาจนถึงหน้ากว่าๆ ด้วยแนวคิดในบทความนี้เป็นแนวคิดที่แปลกประหลาด ผมจึงอยากนำมาเสนอให้ทุกท่านได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน... ลองอ่านดูแล้วกันครับว่าเป็นอย่างไร
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป (ในหมู่ผู้สนใจข่าวการเมือง) ว่าอีกไม่นานก็จะถึงวันเลือกตั้งซึ่งจะชี้ชะตาประเทศไทย แต่กระแสบางอย่างซึ่งนักวิชาการพร้อมใจกันออกมา สร้าง อยู่ทุกวันนั้นกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของประเทศของเรา... ไม่ว่าจะเป็นกระแสการจัดตั้งรัฐบาลผสม รัฐบาลอายุสั้น การจับขั้วของพรรค เสียบเพื่อชาติ รวมทั้งการคาดการณ์ถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายอำนาจเก่า เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความรุนแรงจนอาจนำไปสู่ ความหายนะ... แม้กระทั่ง หมอดูฟันธง ยังออกมา ฟัน ว่าจะเกิดการนองเลือด (สงสัยเหมือนกันว่าจะเป็นเลือดใครที่นองระหว่าง เลือดประชาชน หรือ เลือดหมอดู ฮา)... อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งซึ่งกำลังเป็นปัญหาไม่แพ้กันและผมจะนำมากล่าว ณ ที่นี้ก็คือ ภาวะเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจไทยหรือเศรษฐกิจโลก. ภาวะเศรษฐกิจซึ่งผมจะกล่าวถึงนั้น ผมขอหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์แสงทางเศรษฐศาสตร์ เพราะ ยิ่งใช้มาก ยิ่งเมา (ความ)... นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้ไม่น่าจะพัฒนาไปได้มาก ซึ่งผมพยายามศึกษาและสรุปสาเหตุหลักๆ ได้ดังนี้ ๑. เสถียรภาพทางการเมือง สาเหตุนี้มาจากปัญหาทางการเมืองที่สะสมมาตั้งแต่สมัยนักธุรกิจครองเมือง (ทุนนิยมกระเดื่องทั่วแผ่นดิน) จนมาถึงรัฐบาลฤๅษีเลี้ยงเต่า (ปู่โสมเฝ้าเก้าอี้ฯ)... ถึงตอนนี้กระแส ทักษิณออกไป กับ ทักษิณจู้จู้ (สู้สู้) ก็ยังคงกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งอันนำไปสู่ลักษณะ ไก่ในเข่ง ตามคำของหมอประเวศ... สำหรับปัญหานี้มีทางแก้ทางเดียวคือ ตายแล้วเกิดใหม่. ๒. ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อการลงทุน โดยวิสัยของมนุษย์แล้วมักจะตื่นเต้นไปตามกระแส ทำให้ทฤษฎี ผีเสื้อกระพือปีก ยังคงพิสูจน์ได้เสมอ เรื่องเหล่านี้เป็นของธรรมดาตามกฎไตรลักษณ์ ฉะนั้นเราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพียงแต่ทางออกที่ดีที่สุด คือ การรับมือกับกระแสอย่างชาญฉลาด ผมเชื่อว่าประเทศไทยคงจะไม่ขาดแคลนนักเศรษฐศาสตร์ที่มี ปัญญา มากพอที่จะหาทางแก้ไข มิใช่เพียงเข้าไปนั่งเสนอหน้าเป็นรัฐมนตรีแล้ว เต๊ะจุ๊ย บริหาร ธุรกิจประเทศไทย ด้วยอัตตา. ๓. ความผันผวนของค่าเงิน สิ่งเหล่านี้ผมเข้าใจว่าเป็นธรรมดาสำหรับเศรษฐกิจเพราะการเปลี่ยนแปลงค่าเงินนั้นเป็นไปได้ทุกวันทุกเวลา แต่ในปัจจุบันที่ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โต ก็เพราะมีผลกระทบไปถึงการขึ้นราคาสินค้าอย่างรวดเร็วทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว... ผู้รู้บางท่านบอกว่าอีกไม่นานค่าเงินก็จะอ่อนตัวลงตามการแทรกแซงของเจ้าพ่อนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีอำนาจเงินอยู่ในมือแล้วรู้สึกสนุกสนานกับการ เล่นค่าเงิน สุดท้ายแล้วเมื่อไอ้บ้าพวกนี้เบื่อที่จะ เล่น กับเรา เขาก็คงจะไป เล่น ที่อื่นแทน. ปัญหาดังกล่าวมานี้เป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาชาติ ดังนั้นเราจึงควรร่วมกันหาทางออก แง่มุมหนึ่งที่ผมขอเสนอก็คือการใช้ความรู้เบื้องต้นทางเศรษฐศาสตร์ในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามแนวคิดที่เสนอนี้อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วไป เพราะมันเป็น ปัจเจกทรรศนะ... ผมไม่ได้คิดจะนำความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น การเงิน การคลัง การธนาคาร กลไกราคา มาอธิบายยืดยาวเพื่อแสดงความโง่เขลาเบาปัญญาในวิชาเศรษฐศาสตร์ของตัวผมเอง แต่ผมขอนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วย ความหมายของเศรษฐศาสตร์ เท่านั้น. เป็นที่ทราบกัน (อีกแล้ว) ว่า เศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด (limited resource) ให้เกิดประสิทธิภาพภายใต้เงื่อนไขความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์ (unlimited want)... และความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์อันนี้แหละครับที่ผมคิดว่าเป็น ต้นเหตุปัญหาเศรษฐกิจของมวลมนุษยชาติ. ฉะนั้นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด (สำหรับผม) ก็คือการลดความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์หรือพูดง่ายๆ ก็คือ รู้จักพอ นั่นเองครับ เพราะอย่างที่กล่าวไว้แล้วว่าปัญหาเศรษฐกิจทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากพฤติกรรมหรือ สันดาน ของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ปัญหาราคาน้ำมันก็มาจากการใช้อย่างไร้หัวคิดในอดีต เวลาราคายังถูกอยู่ก็ใช้อย่างไม่เห็นคุณค่า สุดท้ายทรัพยากรก็ร่อยหรอมันก็ทำให้ราคาสูงขึ้นเป็นธรรมดา. อาจจะมีคนถามต่อไปว่า มีเท่าไรถึงจะพอ คำถามนี้ถ้าเป็นแต่ก่อนผมก็จะตอบปริมาณเงินที่เห็นว่ามากพอสมควรไป แต่ ณ ปัจจุบันที่ผมเริ่มมีความคิดใหม่ผมก็จะขอตอบว่า มีเท่าไรก็พอ ตราบเท่าที่เราอยากจะพอ หมายความว่า มีห้าบาทก็พอได้ ถ้ารู้จักวางแผนที่จะซื้อ มีร้อยล้านก็พอถ้ารู้จัก อิ่ม (ดูตัวอย่างคนไม่รู้จักอิ่มได้จากท่านอดีตนายกฯ) ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เมื่อเราไม่รู้จักพอก็จะเกิดความต้องการที่ไม่จำกัด (unlimited want). สำหรับผมและเราๆ ท่านๆ ที่ไม่สันทัดในเรื่องเศรษฐกิจก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจลึกซึ้งก็ได้ (ขอย้ำว่าไม่ต้องลึกซึ้งไม่ใช่ไม่ต้องศึกษา) เพียงแต่เข้าใจความหมายของเศรษฐศาสตร์ และเล็งเห็นถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาทั้งมวล แล้วแก้ไขด้วยการ รู้จักพอ เพียงเท่านี้คุณก็จะทุเลาจากโรคร้ายที่ชื่อว่า อยากไม่รู้จบ อย่างรวดเร็วครับ. และนี่ก็คือการนำความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ (ที่แสนจะเบื้องต้น) มาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติ บางครั้งเรารู้มากแต่กลับมองไม่เห็นเรื่องง่ายๆ แม้ว่าสิ่งที่ผมเสนอจะเป็นทางออกที่ดูง่าย แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องในอุดมคติซึ่งทำได้ยากมาก เพราะสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดของมนุษย์ (ยากยิ่งกว่าการเลือกนักการเมืองดีๆ อีกนะครับ ฮิๆๆๆ). เอาเถอะครับ แม้บทความนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดหรือสันดานของมนุษย์ได้ แต่อย่างน้อยผมคนหนึ่งแหละครับที่จะปรับความคิดใหม่ให้รู้เท่าทันความต้องการที่ไม่จำกัดที่ผมมีอยู่ เพราะผมยังเชื่อในทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีกว่าแม้ผมจะเปลี่ยนสันดานของผมคนเดียว แต่มันก็คงจะเกิดกระแสอะไรบางอย่างที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติได้ไม่มากก็น้อย (และคงจะมากกว่าพวกหน้าด้านที่จะกลับมานั่งหน้าสลอนในสภาด้วย)... สุดท้ายขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า เรามีเท่าไรก็พอได้ ตราบเท่าที่เราอยากจะพอ แล้วเราจะ พอ เพื่อพัฒนาชาติกันไม่ได้เชียวหรือ นี่แหละครับ เศรษฐศาสตร์กับการพัฒนาชาติไทย ในมุมมองของผม และขอย้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตายจากกันว่านี่คือความคิดเห็นของผมล้วนๆ ครับ... สวัสดีครับ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | ธันวาคม 2007 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | ||||||
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 |