
. ณ ปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 ขณะที่ฝนกำลังออนเอ็มตอนค่ำๆ เป็นปกติที่ทำเหมือนกับทุกวัน เห็นเจ้าหลานสาวตัวดีกำลังออนเอ็มอยู่ ก็เลยทัก นั่นเป็นสาเหตุให้ถูกชวนไปร่วมทริปภูกระดึงในครั้งนี้ และให้ฝนตอบเลยว่าไปหรือไม่ไป เพราะกำลังจะเดินทางไปซื้อตั๋วรถทัวร์ เดี๋ยวนี้ อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในความคิดของฝนในขณะนั้นจำได้แต่ ภาพของชะง่อนผาที่ยื่นออกมาแล้วมีต้นสนยื่นออกมาคู่กัน ทำให้ตอบตกลง ไปทันที (โดยที่ไม่รู้เลยว่าก่อนที่เราจะไปเจอภาพอันสวยงามเหล่านั้น จะต้องฟันฝ่าอะไรกันบ้าง กว่าจะได้เห็นภาพความงามนั้น :D) (บริเวณหน้าร้านเจ๊กิม ที่ผานกเค้า) การเดินทางของพวกเรา ห้าสาวนอกจากฝน มี มิ้นท์ (หลานสาว) นก ติ๊ก และเอื้อม ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของมิ้นท์ เริ่มจากการเดินทางมาเจอกัน ที่หมอชิต เพื่อขึ้นรถเสริมพิเศษของแอร์เมืองเลย ไปลงที่ผานกเค้า จังหวัดเลย รถออกเวลา 22.00 น. ในวันที่ 4 ธันวาคม ไปถึงจุดหมายปลาย ทางเวลา 06.00 น. ของเช้าวันที่ 5 ธันวาคม อากาศที่นั่นหนาวกว่าที่ ทางกรุงเทพมากทำให้พวกเราเริ่มคว้าอุปกรณ์ป้องกันความหนาวมาใส่กัน อย่างเต็มที่ ทั้งเสื้อกันหนาว หมวกไหมพรม ถุงมือ และผ้าพันคอ 
(ป้ายทางตรงทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงในภาพน้องติ๊กกับน้องเอื้อมที่เดินทางไปด้วยกัน) และแล้วพวกเราก็เจอปัญหาจนได้เนื่องจากน้องคนนึงในกลุ่มที่เป็นคน จัดทริปได้บอกว่าพวกเราไม่มีรายชื่อใน 5,000 คน ที่จองชื่อขึ้นไปที่ยอด ภูกระดึง (จากการที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันมากในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม ปี 2550 ถึง 1 หมื่นคน ทำให้ประสบปัญหากับนักท่องเที่ยวล้นภู ปีนี้ทาง อุทยานฯ เลยจำกัดนักท่องเที่ยวแค่ 5,000 คน) แต่ก็โชคดีที่มิ้นท์เจอเพื่อน อีกกรุ๊ปซึ่งเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย เดินทางขึ้นวันเดียวกัน เพื่อนเค้ามา ไม่ครบ เราก็เลยขออิงแอบเข้ากลุ่มไปด้วย จากนั้นเราก็เหมารถกระบะราคา รวม 400 บาทเพื่อนั่งจากร้านเจ๊กิม ไปที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 
(ทางขึ้นจากจุดเริ่มต้น) และแล้วเราก็เจอปัญหาที่ 2 เนื่องจากเราสามารถทำเรื่องขอขึ้นภูได้แค่ 2 คน ที่เหลืออีก 3 คน ต้องรอกลุ่มอื่นๆ ที่มาไม่ครบแล้วจึงรวมเข้าไปกับ พวกเค้า ทำให้ ฝน กับ มิ้นท์ ต้องขึ้นล่วงหน้ากันไปก่อน และเนื่องจาก จำนวนนักท่องเที่ยวล้นหลาม ทำให้ลูกหาบไม่พอ กว่าพวกเราจะดำเนิน เรื่องขึ้นได้ เก้าโมงกว่าๆ แล้วถ้าเรารอกระเป๋าจากลูกหาบคงได้ของเช้าอีกวัน แน่นอน ทำให้เราตัดสินใจขนสัมภาระขึ้นไปเอง หุหุ นอกจากไม่ได้ออกกำลังเตรียมร่างกาย และต้องแบกสัมภาระเอง กว่าจะถึงซำแฮก ก็เรียกว่า แฮก สมชื่อเลย^^ 
(ซำแฮก จุดพักแรก จากเส้นทางขึ้นภู) เราซึ่งมีแค่ฝน กับมิ้นท์ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. พอดี เดินบ้างปีนบ้าง พักบ้าง ก็มาถึงซำแฮก เราสองคนก็เลยตัดสินใจนั่งรอเพื่อนๆ และ รับประทานอาหารรอ ที่นี่มีอาหารขายมากมาย ทั้งน้ำ ขนม ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง แต่ฝนกับมิ้นท์เลือกเอาอาหารที่เตรียมมาเองมาทาน เพื่อต้องการให้น้ำหนักของที่ขนขึ้นไปนั้นเบาลงบ้างก็ยังดี 
(วิวบริเวณซำแฮก) หลังจากทานเสร็จ ก็เดินเล่น ถ่ายรูปรอบๆ บริเวณ รวมเวลาถึง 1 ชม. เพื่อนๆ มิ้นท์ก็ยังเดินทางมาไม่ถึง ทำให้เราสองคนตัดสินใจเดินขึ้นต่อ เพราะคิดว่ายังไงเพื่อนมิ้นท์ต้องเดินตามมาทัน (สัมภาระของเราหนัก กว่ามาก และเพื่อนๆ มิ้นท์เป็นเด็กต่างจังหวัด เดินขึ้นเขาเก่งค่ะ) 
(วิวบริเวณซำแฮก) และแล้วเพื่อนๆ มิ้นท์ก็มาทันพวกเราที่ซำกกโดนนี่เองเวลาตอนนั้น ก็บ่ายสองโมงพอดี มิ้นท์ออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า เพราะกลัวว่า เพื่อนๆ จะขึ้นมาไม่ได้ในวันนี้ อาจทำให้เราสองคนต้องนอนข้างบนกัน อย่างโดดเดี่ยว^^ 
(วิวบริเวณซำแฮก) เท่าที่ฝนสังเกตุ นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่น นักศึกษา มหาวิทยาลัย มีบางคนเอาชุดครุยมาใส่ถึงข้างบนนี้เลย หลายคนที่ไม่ได้ เตรียมตัวเตรียมใจต้องขนสัมภาระเองก็มีแยะ บรรดาหนุ่มๆ จะทำคะแนน ได้ก็ตอนนี้แหละ หลายคนหิ้วกระเป๋าให้สาวๆ บางคนก็ขนกีตาร์ขึ้นมา ตอนที่ปีนขึ้นข้างบนฝนเจอเด็กหนุ่มคนนึงอุ้มกระเป๋าพลาสติกที่เหมือน เป็นกระเป๋าใส่ผ้านวม ในนั้นมีของเต็มไปหมดปีนไปก็ร้องไปว่า ผมจะกลิ้งแล้ว ผมจะกลิ้งแล้ว เราก็แซวเค้าว่า กระเป๋าแตกเหรอน้อง เค้าก้ตอบว่า กระเป๋ามันแตก ตั้งแต่ที่ผมกลิ้งล้มครั้งแรกแล้ว เราก็ขำกันไป 
(วิวบริเวณซำแฮก) ตลอดทางที่ปีนขึ้น เราต้องหลบให้ลูกหาบเดินขึ้นก่อน ดูแล้วให้ประหลาด ใจมากว่าพวกเค้าขนขึ้นไปได้อย่างไร (แปลกมากฝนดูรูปในกล้อง ทำไมไม่ ได้ถ่ายรูปลูกหาบไว้บ้างเลยนิ) มีตอนนึงที่นั่งพักอยู่ใกล้ๆ ลูกหาบคนนึง เราก็สวมรอยเป็นนักข่าวสัมภาษณ์ซะเลย "พี่คะ น้ำหนักของที่พี่หาบเท่า ไหร่คะ" พี่ลูกหาบตอบกลับมาแบบอารมณ์ดี ถึงแม้จะเหนื่อยจากการเดิน มา"60 กิโล บางคนก็ 75-80 กิโลแน่ะ" เราก็โห หนักขนาดนั้นเลยเหรอคะ 
(ร้านขายของที่ระลึกตรงบริเวณซำแฮก) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีก แล้วน้ำหนักตอนลงล่ะพี่ " 40 กิโล " เราสงสัย ต่อ "อ้าวทำไมน้อยกว่าอ่ะพี่ หรือว่าลงมันลำบากกว่าคะ" "ไม่ลำบากหรอก ลงง่ายกว่า แต่ถ้าหนักมาก มันทรงตัวลำบากน่ะ" เราก็ถึงบางอ้อทันที แล้วก็ ยังถามแบบโง่ๆ ไปอีก " แล้วพี่ไม่เหนื่อยเหรอคะ" "ทำไงได้ล่ะ ลูกก็ยังเรียน อยู่เลย" เมื่อได้คำตอบเราก็เงียบทันที แล้วพี่เค้าก็ลุกหาบของเดินขึ้นต่อไป 
(ร้านขายของที่ระลึก) ร้านขายของที่ระลึก มีอยู่ทุกซำ ใหญ่ๆ ส่วนอาหารและน้ำ ยิ่งสูง ราคายิ่งแพง ขึ้นเรื่อยๆ จาก 20 บาท เป็น 25 , 30 และ 40 บาทเป็นลำดับไป เมื่อเล่าถึง ร้านอาหารแล้วก็เกิดความสงสัยอีกเช่นกัน ได้ถามแม่ค้าร้านขายของที่ระลึก เมื่อตอนขาลงที่ซำแฮก "พี่คะปีนี้ขายดีมั๊ยคะเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว" แม่ค้า ตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อเชื้อเชิญให้เรานั่งแล้ว "ไม่ดีหรอกหนู สู้ปีที่ แล้วไม่ได้ ปีนี้เค้าจำกัดคนขึ้นน่ะ" "อย่างนี้ก็แย่สิคะ" "ไม่หรอกหนูแล้วแต่ ทำเลน่ะ ใครได้ที่ทำเลดี นักท่องเที่ยวเยอะ ก็ขายดี" 
(กระเป๋าสัมภาระที่ขนขึ้นไปเอง) เราก็สงสัยต่อ "แล้วทำเลเลือกยังไงคะ ใครจองก่อนได้ก่อนเหรอคะ" "ไม่ใช่ หรอกหนู จับสลากเอาน่ะ" "อ้อเหรอคะ แล้วแม่ค้าที่นี่ กับลูกหาบนี่ เป็นคน ท้องที่รึเปล่าคะ" แม่ค้าตอบอย่างอารมณ์ดี "ไช่แล้วหนู เป็นคนในหมู่บ้าน ทั้งนั้น พอหมดหน้าท่องเที่ยว พวกป้าก็กลับไปทำไร่ต่อน่ะ" ทำให้เรารู้ว่า ก็ยังดีนะ ที่ทางอุทยานยังให้พวกชาวบ้านท้องถิ่นเหล่านี้มีที่ทำกิน ไม่ใช่ให้ คนรวยๆ ทั้งหลายมาหาผลประโยชน์กับทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ 
(เด็กๆ ช่วยกันถือสัมภาระขึ้นภู) ว่าแล้วก็นึกถึงการสนทนา ของเราก่อนที่จะมาเที่ยวที่นี่ กับหัวหน้าระดับที่ ปรึกษาคนนึง ท่านอายุเกือบ 70 แล้วแต่ทางบริษัทก็จ้างต่อให้เป็นที่ ปรึกษา กับหัวหน้าอีกคนนึง เรื่องโครงการกระเช้าไฟฟ้าที่จะสร้างขึ้น ภูกระดึง ทางหัวหน้าเค้าอยากให้มีกระเช้าไฟฟ้า เราไม่อยากให้มี นอกจาก จะทำลายเสน่ห์ของภูกระดึงแล้ว ยังทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวล้นเกินอีกด้วย แต่ทางหัวหน้าทั้งสองคนอยากให้มีเพราะแกขึ้นไม่ไหว แกบอกว่าก็ให้ พักข้างล่างสิ ขึ้นไปเที่ยว เย็นลงก็มาหาที่พักข้างล่าง แต่เราก็เถียงไปว่า พักข้างล่างก็ไม่ได้บรรยากาศ สุดท้ายก็เป็นปัญหาโลกแตก เลยเลิกเถียงดีกว่า^^ 
(ลูกหาบที่ขนของขึ้นไปแล้วถือไม้หาบเปล่าลงมา) การเดินทางของเราผ่าน ซำแฮก (ซึ่งแฮกสมชื่อ) แต่ที่จริงภาษาท้องถิ่น หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร , ซำบอน ที่ชื่อบอน เพราะมีต้นบอนขึ้นอยู่มาก ระยะทาง 700 เมตร , ซำกกกอก ซึ่งมีต้น มะกอกขึ้นอยู่มาก ระยะทาง 360 เมตร , ซำกกหว้า ซึ่งมีต้นหว้าขึ้นอยู่มาก ระยะทาง 880 เมตร 
(เมื่อเริ่มเข้าความสูงระดับ 950 เมตร จากระดับน้ำทะเล จะพบต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นพวกต้นไผ่) ซำกกไผ่ ซึ่งมีต้นไผ่ขึ้นอยู่มาก ระยะทาง 580 เมตร , ซำกกโดน ซึ่งมีต้น กระโดนขึ้นอยู่มาก ระยะทาง 300 เมตร และซำสุดท้าย คือ ซำแคร่ ระยะ ทาง 588 เมตร และสุดท้ายคือหลังแป ซึ่งทางเดินจากซำแคร่ ถึงหลังแป กินระยะทาง 1,020 เมตร (ทางโหดมาก ชัน และมีก้อนหินก้อนใหญ่ๆ แยะ บันไดก็เยอะ T_T ) 
(ต้นเฟิร์นเขากวาง ตรงบริเวณซำกกโดน) แต่ไม่ว่าจะสูงแค่ไหน หรือลำบากอย่างไร ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ พวกเราก็เดินทางมาถึงหลังแป อย่างทุลักทุเล ในเวลาประมาณ 16.00 น. พอดี พอขึ้นไปถึงเข้าใจเลยว่าสวรรค์เป็นยังไง หุหุ 
(ภาพต้นไม้ในช่วงป่าเบญจพรรณ ตรงทางขึ้นภูกระดึง) หลังจากนั่งพัก และถ่ายรูปกับป้าย เราคือผู้พิชิตภูกระดึง กันจนหนำใจ แล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันต่ออีก 4 กิโลเมตร เพื่อไปให้ถึงจุดพักแรม เส้น ทางเป็นทางลาดแล้ว ทำให้เดินสบายขึ้น วิวสองข้างทางเป็นสนสองใบ สวยงามมาก 
(คู่รักคู่นึงกำลังนั่งพักเหนื่อยจากการขึ้นภูกระดึง) เราไปถึงจุดพักแรม เวลา 16.45 น. น้องนกก็โทรติดต่อเจ้าหน้าที่ ที่รู้จัก เค้าบอกว่ากำลังเดินขึ้น ให้นั่งรออีกครึ่งชม. พวกเราก็เลยนั่งพักเหนื่อยกัน รับประทานอาหาร ที่พวกเราแบกกันขึ้นมา (ที่ย่าของมิ้นท์ ซึ่งก็คือแม่ของ เรานั่นเอง :D) เตรียมมาให้กันอย่างเอร็ดอร่อย 
(ทางเดินจากหลังแป เพื่อไปที่พักแรม ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร) หลังจากทานเสร็จ พวกเราก็ได้เต๊นท์นอน สำหรับ 5 คน พวกเราก็แยกย้าย กัน ไปอาบน้ำ ส่วนฝน เอาปลั๊กพ่วงที่เตรียมมา ขนมือถือ และแบตเตอรี่ กล้องถ่ายรูปของตัวเองและเพื่อนๆ ไปนั่งชาร์ต ที่ตึกอำนวยการ 
(จุดกางเต๊นท์พักแรมที่ทางเจ้าหน้าที่จัดรองรับนักท่องเที่ยว) "ไปเที่ยวหน้าเทศกาลต้องทำใจหน่อยนะ" หลายคนบอกมา แต่พอมาเจอ คน คน และคน ทำให้รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันนิ กว่าจะเข้าคิวอาบน้ำ กินเวลาเป็นชั่วโมงทีเดียว อากาศก็หนาว คืนนั้นว่ากันว่าจะลดลง ถึง 5 องศาทีเดียว 
(น้องนก น้องที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน กำลังรอเจ้าหน้าที่รู้จักกันนำทางไปที่เต๊นท์พักแรม) แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน หรือว่าหนาวยังไง พอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า เห็นดวงดาวดารดาษเต็มท้องฟ้า ทำให้ลืมความเหนื่อย และก็ความหนาวเย็น ไปเลยทีเดียว 
เอนทรี่นี้เป็นเอนทรี่ที่ยาวที่สุดของฝนเลยทีเดียว หุหุ ขอบคุณเพื่อนๆ ค่ะ ที่ตามฝนไปเที่ยวภูกระดึงกัน เอนทรี่หน้าจะพาชมภาพสวยๆ และใบเมเปิ้ลกันค่ะ ตอนที่ฝนกำลังพิมพ์อยู่นี่ ยังไม่หายปวดขาเลยค่ะ ^^ 
|