ยาคุมฉุกเฉินขายดีกว่าถุงยางอนามัย เพราะใครๆ กลัวตั้งท้อง มากกว่า

             กลัว โรคเอดส์.....

เป็นเรื่องจริงอีกหนึ่งเรื่อง ที่วัยรุ่นสมัยใหม่ลืมใส่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง รักสนุก ปล่อยตัวจนลืมป้องกันโรคร้ายที่จะตามมา  บ่อยครั้งสำหรับน้องๆที่กำลังศึกษาอยู่ หรือ  เพื่อนอยู่ในวัยทำงาน จะโทรศัพท์มาปรึกษา ถึงสถานที่ “เอาเด็กออก”  นั้นอาจเป็นเพราะว่าดิฉันเอง เป็นผู้สื่อข่าว  น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้  ... ความรู้สึกลึกๆแล้ว ไม่อยากแนะนำให้ว่าที่แม่ คนไหนบนโลก กระทำบาปกรรมที่ติดตัวไปจนตาย  อีกทั้งตัวดิฉันเองจะมีบาปติดตัวตามไปด้วย ...แต่เพราะความไม่พร้อมหลายอย่างของว่าที่แม่ คนนั้นๆ ดิฉันจึงตัดสินใจแนะนำสถานที่เหล่านั้นไป …

 วัยรุ่นกลัวว่าจะตั้งท้องก่อนแต่ง กลัวพ่อแม่จะเสียหน้า กลัวอนาคตจะจบสิ้น กลัวอะไรๆมากมายก่ายกอง ในขณะที่ก่อนลงมือปฏิบัติกิจกรรมทางเพศ ไม่รู้จักที่จะ “ป้องกันให้ถูกวิธี”   บุคคลเหล่านี้ สังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่เดินมุ่งหน้าไปยังร้านขายยา สิ่งแรกที่เขาต้องการซื้อ คือ “ยาคุมกำเนิด” “ยาคุมฉุกเฉิน”   “ยาขับเลือด” ยาจำพวกนี้  ตามร้านเภสัชทั่วไป จะขายดีมาก  ในขณะเดียวกัน ถุงยางอนามัยที่วางขายกันตรงหน้า หยิบง่ายๆ  ซื้อโดยไม่ผิดกฎหมาย  เขาไม่เลือกที่จะซื้อกัน ทั้งๆที่มันป้องกันได้ทั้งเอดส์ และการตั้งท้อง

 ....

 ดิฉันได้พูดคุยกับเจ้าของร้านขายยา บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเอกชนย่าน วิภาวดี   เขาเล่าให้ฟังว่า เด็กสาวส่วนใหญ่  จะถามหายาคุมกำเนิดแบบรายเดือน เลือกซื้อยาที่กินแล้วไม่เกิดอันตราย ไม่อ้วน และไว้ใจว่ากินแล้วจะไม่ท้อง สำหรับยาคุมประเภทฉุกเฉิน จะขายดีมาก ราคากล่องละเพียง 30 กว่าบาท หลังมีเพศสัมพันธุ์   ก็ซื้อมากินดักไว้ได้ แต่ความสี่ยงในการตั้งท้องค่อนข้างสูง หากเปรียบเทียบกับการใช้ถุงยางอนามัย

“ ยาคุมฉุกเฉินที่ร้านจะขายดีมาก ช่วงเช้าๆ ก็จะมาถามหากันแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าขาจรที่ซื้อของประเภทนี้  ส่วนลูกค้าประจำจะซื้อยาคุมที่กินเป็นเดือน มาปรึกษาวิธีการกิน  ลูกค้าบางรายมีอาการขี้ลืม เลยแนะนำให้ไปฉีดยาคุม  แต่การฉีดยาคุมต้องยอมรับว่า จะทำให้อ้วนขึ้น เขาเลยหันมาซื้อยาคุมรายเดือนทานเหมือนเดิม “

ต่อข้อถามที่ว่า “เคยถามมั้ยว่าทำไมลูกค้าจึงไม่เลือกซื้อถุงยางอนามัย? ”  

                “ไม่ใช่ว่าไม่ซื้อซะทีเดียวเลย เขาก็ยังคงซื้อกันอยู่ทุกวัน แต่หากเทียบกับยามคุมฉุกเฉิน ถุงยางอนามัยจะขายได้น้อยกว่า  ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อก็เป็นผู้ชาย  ลูกค้าผู้หญิงน้อยคนที่มาซื้อถุงยาง จะกล้าเข้ามาซื้อจริงๆ ก็ตอนที่มีอะไรกับผู้ชายไปแล้ว เพราะกลัวท้องเลยแบกหน้ามาซื้อยาคุมฉุกเฉิน “

            ขณะเดียวกัน ลูกค้าที่เข้ามาซื้อยาคุมฉุกเฉิน ภายในร้าน เปิดเผยว่า  ปกติมีเพศสัมพันธุ์กับแฟนคนเดียว ไม่ได้ไปมั่วที่ไหน จึงไม่จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยค่ะ เพราะยังไงๆก็คงไม่ติดโรคแน่นอน แต่สำหรับ การตั้งท้องถือเป็นเรื่องใหญ่ และใกล้ตัวมากกว่าโรคเอดส์  กินยาคุมฉุกเฉินก็สามารถช่วยได้ทุกครั้งไป แต่หนูไม่กินบ่อยค่ะ  วันไหนที่มันพลาดจริงๆ ถึงจะกิน  

ขณะที่  นางสุภัทรา นาคะผิว ผอ.ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ชี้แจงว่า ปัจจุบันกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อเอชไอวี เปลี่ยนจากกลุ่มนักเที่ยวและโสเภณี มาเป็นกลุ่มวัยทำงานและเยาวชนมากขึ้น เนื่องจากหญิงค้าประเวณีมีความเข้าใจที่จะป้องกันตัวเองมากขึ้น ขณะที่คนวัยทำงาน อายุ 20-39 ปีและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี กำลังกลายเป็นกลุ่มที่ชะล่าใจและละเลยการป้องกัน โดยจากตัวเลขปีล่าสุดพบว่า 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ถึงขนาดที่ว่าอัตราเฉลี่ยในกลุ่มวัยทำงาน 30 คน อาจมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 1 คน 

"เด็กกลายเป็นกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่อันดับ 1 รองลงมาเป็นกลุ่มคนทำงาน ด้วยค่านิยมทางเพศที่เปลี่ยนไป เด็กเริ่มมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ยตั้งแต่อายุ 14-15 ปี กับเพื่อนด้วยกันเอง ไม่ใช่การซื้อบริการ ทำให้ไม่มีการป้องกันที่ถูกต้อง เกิดวัฒนธรรมเอาอย่างแบบผิดๆ เช่น ตั้งแก๊งมีเซ็กส์ทำสถิติ ซึ่งก็สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลกที่ประสบอยู่ในขณะนี้"

ถึงบรรทัดนี้คงได้แต่บอกให้สาวๆรู้จักควบคุมสติตัวเอง   อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือความปลอดภัย เอดส์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย  เอดส์เป็นเรื่องใหญ่และใกล้ตัว เป็นแล้วรักษาไม่หาย  แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการไม่มั่ว และใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธุ์ค่ะ 

                                              นู๋เพลง รายงานจ้า ...