....ต่อจากเที่ยว Motovun และ Groznjan นะคะ....พอออกจาก Groznjan ได้ ก็รีบขับรถต่อไปยังอีกเมืองนึง หวังว่าคงพอทำเวลาแวะเที่ยวได้ก่อนจะเข้าที่พัก ช่วงนี้กว่าจะมืดก็สามสี่ทุ่มเที่ยวได้เยอะเที่ยวได้คุ้มค่ะ

....ทีแรกดิฉันตั้งใจว่าจะไปนอนที่เมือง Pula เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ตื่นขึ้นมาแล้วเที่ยวได้เลย แต่พอหาที่พักก็ไม่เจอที่พักที่ถูกใจพร้อมมีที่จอดรถในราคาที่เราต้องการ เลยคิดว่าไปพักเมืองเล็กๆใกล้ๆ Pula ก็ได้ แล้วตอนเช้าก็ขับรถเข้าไปเที่ยวในเมืองก็น่าจะดี

....ดูจากแผนที่มีเมือง Fazana อยู่ใกล้ Pula นิดเดียว เลยเลือกที่จะไปนอนที่ Fazana ค่ะ หาโรงแรมที่บอกว่ามีที่จอดรถให้ด้วย จองไว้เรียบร้อยแล้ว

....ดังนั้นก่อนจะถึง Fazana มีเมืองสวยน่าเที่ยวชื่อ Rovinj....Rovinj เป็นเมืองชายทะเล อยู่ใน Istra นี่แหละค่ะ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องการท่องเที่ยวที่พักตากอากาศธรรมชาติเกาะแก่งที่สวยงาม ชาว Rovinj ส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจการท่องเที่ยว บางส่วนทำการประมง บางส่วนปลูกองุ่นทำไวน์

....Rovinj เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจเหมือนกับเมืองอื่นๆใน Istra เช่นกัน เรื่องประวัติศาสตร์ถ้าสนใจคงต้องไปหาอ่านกันเอาเองนะคะด้วย จขบ.มิสามารถ ส่วนเรื่องความสวยงามของเมืองเดี๋ยวมาดูกันค่ะ

....ตอนเราไปถึง Rovinj ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ร้านรวงต่างๆก็เริ่มทยอยกันปิดตามเวลา เราก็ไม่อะไรมากหรอกค่ะเพราะเริ่มเหนื่อยจากการเดินทางการเดินเที่ยวมาหลายเมืองแล้วเช่นกัน เลยแค่เข้าไปหาที่จอดรถกลางเมือง แล้วก็ชวนกันเดินเที่ยวดูบรรยากาศของเมืองเท่านั้นค่ะ

....ตามเมืองต่างๆของโครเอเชีย ไม่สามารถจอดรถกันข้างถนนได้ตามสบาย จะมีที่จอดรถกว้างใหญ่เป็นสัดส่วนให้ เราก็แค่เอาเข้าไปจอดแล้วจ่ายเงินกับเครื่องอัตโนมัติ

.

แผงขายของริมถนนเลียบทะเล เหมือนๆบ้านเรา

....Rovinj มีโบสถ์สวยอยู่บนเนินเขากลางเมืองเป็นติ่งยื่นออกไปในทะเล ชื่อว่า Church of St.Euphemia....ขออธิบายแบบเป็นเรื่องเป็นราวหน่อยนะคะว่าใครคือ St.Euphemia....คือว่าไปยืนอ่านป้ายเค้ามาน่ะค่ะ

....ย้อนไปในช่วงเวลาของกษัตริย์ Diokletian (กษัตริย์ของโรม) ชาวคริสเตียนถูกข่มเหงและถูกฆ่า มีเด็กสาวคนนึงในครอบครัวขุนนางจากเมืองโมรา(ห้ามถามว่าอยู่ที่ไหนค่ะ)

....เธอถูกพวก Diokletian จับได้ตอนอายุสิบห้าปี เธอถูกบังคับข่มเหงให้เลิกจงรักภักดีต่อพระคริสต์แต่เธอปฎิเสธ เธอจึงถูกทรมานและถูกโยนให้สิงโตฆ่า แต่มันก็ไม่ได้กัดกินร่างกายของเธอ

....เหล่าคริสตชนจากเมืองโมราจึงเก็บรักษาร่างกายของเธอที่พลีชีพเพื่อพระคริสต์เอาไว้ จนต่อมาในช่วงคริสตศักราชที่ 620 เมืองถูกครองโดยพวกเปอร์เซีย โลงศพที่มีร่างของ St.Euphemia ก็ได้ถูกนำไปยังกรุง Constantinople และเก็บรักษาไว้ในโบสถ์อันสวยงามที่ซาร์แห่งคอนสแตนตินสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ์แก่เธอ

....แต่ต่อมาในช่วงคริสตศักราชที่ 800 พวก iconoclasts ( someone who engages in iconoclasm-destruction of religious symbols or, by extension, established dogma or convention....แปลเอาเองนะคะ) เข้ามามีอำนาจ ชาวคริสเตียนจึงถูกบังคับให้เอาพระธาตุของนักบุญ Euphemia ออกไป

....มันยากที่จะพูดถึงในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป (เค้าว่าไว้แบบนี้)  ผู้คนต่างบอกว่าโลงศพหินอ่อนที่บรรจุพระธาตุของ St.Euphemia มาลอยอยู่ในทะเลชายฝั่งของ Rovinj หลังจากที่เกิดพายุใหญ่ ว่ากันว่าคนจำนวนมากของ Rovinj พยายามที่จะลากโลงศพไปที่โบสถ์ของนักบุญจอร์จ (นักบุญองค์หนึ่งของศาสนาคริสต์) แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ

....แต่ในที่สุดจากกระแสบุญของ St.Euphemia ทำให้เกิดปาฏิหารย์ โดยเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนนึงที่มีวัวสองตัวน้อยๆจัดการลากโลงศพหินอ่อนของ St.Euphemia ขึ้นมาอยู่บนเนินเขาได้เป็นผลสำเร็จ

....ชาว Rovinj คิดว่านี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ จึงประกาศให้ St.Euphemia เป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์เมือง และให้ทุกวันที่ 16 กันยายนเป็นวัน St.Euphemia....ทุกปีที่เมือง Rovinj จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างใหญ่โตที่จตุรัสริมทะเลกลางเมือง

.

Church of St.Euphemia มองเห็นได้จากลานจอดรถเคียงทะเล

Church of St.Euphemia....ไปถึงตอนค่ำแล้วพระอาทิตย์ยังไม่ตกเลยต้องถ่ายรูปย้อนแสง

ย้อนแสงแต่ก็ได้รูปบรรยากาศสวยๆแบบนี้  หอสูงที่เห็นบนสุดนั้นเป็นรูปปั้นของ St.Euphemia ค่ะ

รูปนี้เอามาจากเว็บ ถ้าจะถ่ายรูปได้แบบนี้ต้องนั่งเรือลงไปถ่ายค่ะ....ที่ Rovinj นี่คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวเป็นคนเยอรมัน อิตาลี ออสเตรีย และอังกฤษ

....เสียดายที่เรามีเวลาที่โครเอเชียกันน้อยไปหน่อย ไม่งั้นทริปนี้คงได้ไปนอนเวนิซกันสักคืนแล้วละค่ะ จากเมืองชายทะเลแถบ Istra นี้ มีเรือวิ่งไปเวนิซ/อิตาลี เป็นประจำ ใช้เวลาเดินเรือเพียงสามชั่วโมงครึ่งราคาก็โอเค แต่ด้วยเวลาเราน้อยดิฉันจึงไม่อยากเสียเวลาไปถึงแปดชั่วโมงกับการนั่งเรือไปกลับ เพราะยังมีที่ที่อยากไปดูในโครเอเชีย และไม่อยากเหนื่อยจนเกินไป ดังนั้นครั้งนี้จึงขอฝากไว้ก่อนเถอะเวนิซ(จากโครเอเชีย)แล้วเราจะมาคิดบัญชีคืนในภายหลัง

....เดินเล่นกันไปเรื่อยๆในเมือง ด้วยตัวโบสถ์เป็นเหมือนติ่งยื่นไปในทะเล ดังนั้นจึงมีท่าเรือในช่วงปลายติ่งทั้งสองทาง มีทั้งท่าเรือในการประมง ท่าเรือท่องเที่ยว และท่าเรือยอร์ช ดูจากเรือยอร์ชทั้งหลายเมืองนี้ดูรวยจริงๆค่ะ

.

ตึกเหงาๆในเมือง

อีกฝั่งหนึ่งของติ่งแผ่นดินก็มีท่าเรือเช่นกัน

....เดินกันจนพอใจก็เดินกลับมาเพื่อที่จะไปที่จอดรถ  จะได้ออกจากเมือง  ผ่านร้านไอศครีม ลูกสาวอยากทาน ดิฉันก็อยากทาน เดินตรงเข้าไปสั่งมาคนละสองสคูป ได้มาก็เอาเข้าปากกันทันที ตั้งท่าหยิบเงินเพื่อที่จะจ่าย อ้าว! ตายละไม่ได้เอากระเป๋าเงินลงมาจากรถ ทำไงดี!

....บอกคนขายว่าขอเดินกลับรถไปเอาเงินมาจ่าย คนขายดูท่างงๆ ลูกสาวบอกว่าคุณแม่รออยู่ที่นี่เดี๋ยวเดินไปเอามาให้เองค่ะ ดิฉันบอกลูกว่าลูกอยู่รอเถอะที่จอดรถมันไกลมากแม่จะเดินไปเอง เกี่ยงกันไปมาลูกค้าหนุ่มหล่อที่นั่งทานไอศครีมอยู่ใกล้ๆเห็นเราแปลกๆ ถามคนขายว่าเกิดอะไรขึ้น คนขายจึงบอกไปว่าเราไม่มีเงินจ่าย เธอเลยบอกว่าเดี๋ยวจ่ายให้เอง แต่เราเกรงใจจึงบอกไปว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราจะเดินไปเอาเงินที่รถกันทั้งสองคนแล้วจะเอาเงินมาจ่ายค่าไอศครีมให้....

....รีบเดินออกมา ไปที่รถตั้งใจจะวนออกไปจอดหน้าร้านแล้วให้ลูกสาววิ่งเอาไปจ่าย แต่ออกรถมาแล้วไม่รู้ว่าโดนบังคับวิ่งทางเดียว วนอยู่นานหาทางกลับไปร้านไอศครีมไม่ได้  ตัดสินใจ "ไม่จ่าย" แล้วก็เบนหัวรถออกนอกเมืองทันที

....ไม่ได้ตั้งใจไม่จ่ายนะคะ แต่มันสุดวิสัยจริงๆ ต้องขอโทษทั้งเจ้าของร้านไอศกรีมและทั้งหนุ่มคนนั้น ซึ่งดิฉันคิดว่าเธอไม่เห็นเรากลับไปเธอคงจ่ายให้เราไปเรียบร้อยแล้ว แต่เราตั้งใจจะจ่ายคืนนะคะ สัญญาว่าได้กลับไปอีกทีเมื่อไรจะเอาทั้งต้นและดอกไปจ่ายคืนให้ครบเลยละค่ะ แหะ แหะ

.

ลงแผนที่ Istra ให้ดูค่ะ

.

....เกริ่นไว้ในเอนทรีที่แล้วว่าจะเล่าทริปสนุกปนเซ็ง เรื่องสนุกกับการเดินเที่ยวกับไอศครีมใน Rovinj ก็ผ่านไปแล้ว เรื่องปนเซ็งรอเขียนตอนหน้านะคะ....สวัสดีค่ะ

....................................................................