*/
The Wheel of Life | ||
![]() |
||
วงล้อแห่งชีวิต ณ อุทยานประติมากรรม Vigeland Sculpture Park เมือง Oslo ประเทศ Norway |
||
View All ![]() |
<< | มกราคม 2013 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
เสียงอาซานเพื่อเรียกให้ไปสู่การทำละหมาดที่ดังขึ้นในตอนเช้ามืด ปลุกให้ดิฉันตื่นจากการหลับสบายในค่ำคืนแรก ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ อาจจะเพราะคุ้นชินจากการทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากว่าปีแล้วกระมัง แถมยังออกจะชอบในน้ำเสียงเรียกร้องนั้นด้วยซ้ำไป ทำให้ต้องขยับตัวลุกไปทำธุระยามเช้าแล้วตามด้วยเตรียมกระเป๋าแนบกายใบย่อม ที่หากเปิดออกมาก็จะพบขวดน้ำดื่ม 1 ขวด หมวกไหมพรม กล้องดิจิตอลตัวเล็กกับอุปกรณ์แบตเตอรี่พกพา ไอแพด หนังสืออิสตันบูล กับกระเป๋าเครื่องสำอางกระจุกกระจิกใบย่อม พร้อมปากกาและสมุดโน้ตเล่มเล็ก Good Morning!! เสียงทักทายจากพนักงานในห้องอาหารดังขึ้นทันทีที่เท้าก้าวลงสู่บันไดขั้นสุดท้ายที่ชั้นใต้ดิน หัวหน้าบริกรจะเข้ามาทักทายถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เที่ยวสนุกไหม ต้องการอะไรเพิ่มเติมให้บอกได้ ..ก็อย่างที่ดิฉันบอกไปในตอนแรกค่ะว่าที่นี่บริการประทับใจจริงๆ จัดการอาหารยามเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม Best Point Hotel เสร็จเรียบร้อย วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหนดีล่ะคะ ...ดูจากวันแรกของการเยือนอิสตันบูล ที่ได้ชมความงามของบลูมอส แล้วไปต่อด้วยความอลังการของสุเหร่าโซเฟีย วันที่สองก็ต้องไม่พลาดไปชม Topkapi Palace กันนะคะ
Topkapi Palace หรือ Topkapi Saray หรือ طوپقپو سرايى หนังสือบางเล่มเขาออกเสียงเป็น พระราชวัง ท็อป-กา-ปึ ไม่ใช่ ท็อป-กา-ปิ นะคะ ดิฉันเลยลองหาจากข้อมูลต่างๆ ดู พบแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกว่าเป็นเพราะตัวอักษร "i" ที่ตามหลัง Topkap นั้น ที่จริงไม่มีจุดอยู่ข้างบน พอออกเสียง ก็เลยเป็น ท็อป-กา-ปึ ....เอ!! ก็เลยไม่รู้เกี่ยวกันอย่างไร จึงขอเป็นว่าทับศัพท์ภาษาอังกฤษปัจจุบันว่า Topkapi Palace เลยดีกว่า ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น ถ้าดูจากแผนที่ จะเห็นว่า Topkapi Palace ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าใกล้กับสุเหร่าโซเฟียและมัสยิดสีฟ้า บริเวณนี้ถือเป็นเขตประวัติศาสตร์ของอิสตันบูลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกตั้งแต่ปี 1985 นะคะ ดังนั้น สถานที่เที่ยวทั้งสามแห่งนี้สามารถเดินชมในวันเดียวกันก็ได้สำหรับคนที่มีเวลาจำกัด แต่หากเป็นคนที่ชอบเดินละเลียดอารมณ์เก็บรายละเอียดและไม่เร่งรีบนัก เฉพาะที่ Topkapi Palace แห่งเดียว จะใช้เวลาได้นานถึงครึ่งค่อนวันทีเดียว จากที่พักดิฉันใช้เส้นทางเดิมคือ เดินผ่านตลาด Arasta Bazaar ตัดเข้าลานทางทิศตะวันตกของมัสยิดสีฟ้า เลี้ยวขวาเดินผ่านฮิปโปโดรม แล้วเดินต่อโดยใช้เส้นทางของรถรางจากสถานี Sultanahmet ไปยังสถานี Gulhane ซึ่งเป็นสวนสาธารณะติดกับพระราชวัง เดินจากเส้นนี้จะใช้เวลาค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นทางเดินขึ้นเนิน เหนื่อยไม่ใช่เล่นค่ะ ซึ่งหากเดินอ้อมด้านหลังของสุเหร่าโซเฟีย จะใกล้และเดินง่ายกว่ามาก ...แต่ก็ถือเป็นการออกกำลังกายยามเช้าละกันนะคะ ที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวัน ปิดเฉพาะวันอังคาร เริ่มเปิดเวลา 09.00น. เวลาปิดจะเหลื่อมกันไปในช่วงฤดูหนาว และส่วนของฮาเร็มก็จะปิดเร็วกว่าพระราชวังส่วนอื่น บัตรเข้าชมพระราชวังจะแบ่งเป็นสองส่วนนะคะ ส่วนแรกเป็นการชมพิพิธภัณฑ์หรือเขตพระราชวังด้านนอก ค่าเข้าชม 25TL และส่วนของฮาเร็มซึ่งอยู่ Courtyard II อีก 15TL ตั๋วในส่วนของฮาเร็มสามารถซื้อได้ที่ประตูหลักและทางเข้าฮาเร็มค่ะ
บัตรเข้าชมพระราชวังซื้อได้ที่ประตูทางเข้าหลัก หรือผ่านประตู The Imperial Gate เข้ามา เสร็จแล้วจะต้องเดินผ่านประตูเอ็กซเรย์ตรวจกระเป๋าต่างๆ ด้วย วันนั้นดิฉันเจอเด็กนักเรียนวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ ทักทายและแซวเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน พอเครื่องร้องดังจากการตรวจกระเป๋า ดิฉันก็เกือบจะยิ้มไม่ออก เพราะถูกเจ้าหน้าที่เรียกมาคุยพร้อมกับแจ้งว่าพบมีดในกระเป๋าดิฉัน ซึ่งอาวุธเป็นสิ่งต้องห้ามในการเข้าชมพระราชวังแห่งนี้ ดิฉันทำหน้าเอ๋อแบบงงๆ เล็กน้อย เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูผลการตรวจเอ็กซเรย์ ...ก็เลยถึงบางอ้อ ดิฉันบอกว่ามันคือ กรรไกรตัดเล็บ ซึ่งพกติดตัวตลอดเวลาแบบเป็นของติดมือสารพัดประโยชน์ แล้วก็เลยขอให้เจ้าหน้าที่หยิบออกมาดู ซึ่งเธอก็บอกว่าโอเค โอเค ไม่มีปัญหา ....เกือบไปแล้วสิคะ
จากนั้นก็เดินเข้าส่วนของ Courtyard I มาเจอ The Gate of Salutation ตรงนี้ถ้าใครต้องการตัวช่วยอย่าง Audio Guide ก็เช่าได้เลยนะคะ ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 15TL สำหรับคนตัวเล็กตัวหูฟังอาจน่ารำคาญนิดหน่อย เพราะมันค่อนข้างใหญ่เทอะทะ พอจ่ายค่าเช่าเสร็จ ก็จะได้แผนที่แผ่นพับเล็กๆ สำหรับการเดินชมพระราชวัง
จากบริเวณเคาน์เตอร์ให้บริการ Audio Guide ก็จะเป็นส่วนของ Courtyard II มีโมเดลจำลองของพระราชวังให้ชม ถ้าจะเข้าชมฮาเร็มก่อนก็แยกไปทางซ้ายมือ แต่ถ้าจะชมส่วนพระราชวังทั่วไปก่อนก็เดินเลียบกำแพงทางด้านขวามือ ซึ่งจะเป็นส่วนโรงครัว มีเครื่องครัวโบราณจำนวนมาก ทั้งที่เป็นเครื่องปั้นดินเผา กระเบื้องและโลหะ ดิฉันเก็บฮาเร็มไว้ชมตอนท้ายนะคะ
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นโดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 ในปี ค.ศ.1459 บนพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 4 ลานกว้าง และยังมีอาคารขนาดเล็กอีกจำนวนมากที่ครอบคลุมพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลมาร์มาร่าอันสวยงาม ในช่วงเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของอาณาจักรออตโตมัน พระราชวังแห่งนี้มีราชวงศ์และข้าราชบริพารพักอาศัยอยู่รวมกันมากถึงสี่พันกว่าคน หลังจากพระราชวังแห่งนี้เกิดความเสียหายเนื่องจากแผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1509 และถูกเพลิงไหม้ในปี ค.ศ.1664 ก็ได้มีการบูรณะภายในพระราชวัง และใช้เป็นสุเหร่า โรงพยาบาล โรงอบขนมปัง รวมถึงโรงตีเงินกษาปณ์ด้วย จนต่อมาถึงปลายศตวรรษที่ 17 พระราชวังแห่งนี้ค่อยหมดความสำคัญลง เนื่องจากสุลต่านในขณะนั้นนิยมที่จะไปประทับอยู่ที่พระราชวังใหม่บนฝั่งบอสฟอรัสมากขึ้น ซึ่งก็คือ Dolmabahce Palace อีกหนึ่งพระราชวังในอิสตันบูลอันสง่างามนั่นเอง พอหมดยุคจักรวรรดิออตโตมันราวปี ค.ศ.1921 รัฐบาลตุรีจึงแปรสภาพให้เป็นพิพิธภัณฑ์ไปภายใต้การบริหารงานของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว รู้ประวัติพอคร่าวๆ แล้ว เดินชมพระราชวังกันต่อดีกว่าค่ะ
The Imperial Council หรือสภาอิมพีเรียลนั้น จะมีการประชุมอาทิตย์ละ 4 ครั้งในวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์และอังคาร โดยสมาชิกสภาประกอบด้วยอัครมหาเสนาบดี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังและต่างประเทศ หัวหน้าผู้พิพากษาศาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยการประชุมหารือกันจะเกี่ยวกับการบริหาร การเมือง การศาสนา และเรื่องที่รัฐมีความกังวลห่วงใยที่กระทบต่อประชาชนในขณะนั้น ถ้าเป็นบ้านเราในสมัยนี้ ขืนมีการประชุมคณะรัฐมนตรีกันอาทิตย์ละสี่ครั้ง ไม่รู้ว่าจะสนุกสนานกันขนาดไหนนะคะ :)
พอผ่านประตู Gate of Felicity ก็จะเข้าสู่ Courtyard III ซึ่งจะเป็นส่วนของห้องท้องพระคลัง หรือ Imperial Treasury ...ไม่ต้องบอกก็ทราบใช่ไหมคะว่า ส่วนนี้เราจะต้องได้ชมทรัพย์สมบัติอันมีค่าในยุคออตโตมัน และก็แน่นอนอีกเช่นกัน ที่บริเวณนี้ต้องห้ามสำหรับการถ่ายรูปใดๆ ทั้งสิ้น วัตถุล้ำค่าหรือสมบัติชิ้นเด่นสุดในท้องพระคลังนี้จะจัดแสดงเป็น 3 ห้องด้วยกัน ห้องแรก เป็นห้องแสดงเสื้อผ้าและอาวุธโบราณที่สวยงาม ห้องที่สอง จะเป็นห้องแสดงพวกเครื่องประดับต่างๆ เช่น พวกสร้อย กำไล ต่างหู และเพชรนิลจินดาหลากชนิด ที่เด่นสุดของห้องนี้จะเป็น Topkapi Dagger กริชที่มีด้ามประดับด้วยมรกตใหญ่ 3 เม็ด ฝักทำด้วยทองคำประดับเพชร ตรงกลางฝังด้วยอัญมณีและไข่มุกรูปกระเช้าดอกไม้
ส่วนห้องที่สาม นอกจากจะมีเพชรพลอยมากมายแล้ว ยังมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เชิญมาถวายสุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีไทยกับตุรกีเมื่อปี ค.ศ. 1891 และอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพระราชวังแห่งนี้ที่อยู่ในห้องที่สามนี่ด้วยก็คือ The Spoonmaker's Diamond หรือเพชรของช่างทำช้อนเม็ดเป้งขนาด 86 กะรัต ที่เจียระไนเป็นรูปกุหลาบ 49 เหลี่ยม
เล่ากันว่า ที่มาของเพชรเม็ดนี้ นายทหารฝรั่งเศสได้ซื้อมาจากเจ้าเมืองรัฐปัญจาบในอินเดียเมื่อปี ค.ศ.1774 แล้วนำกลับไปยังฝรั่งเศส ต่อมามีการเปลี่ยนมือผู้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ไปเรื่อย จนกระทั่งไปตกอยู่ในมือของพระมารดากษัตริย์นโปเลียน โบนาปาร์ต แล้วได้ขายเพชรให้กับนายพลแห่งอาณาจักรออตโตมันผู้หนึ่ง ซึ่งต่อมานายพลผู้นั้นได้ต้องโทษประหารในปี ค.ศ.1840 เพชรเม็ดนี้จึงถูกริบและตกเป็นสมบัติของราชสำนักออตโตมันไปโดยปริยาย ตำนานของเพชรเม็ดนี้ก็เลยมีการเอาไปเป็นพล็อตในการสร้างหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง Topkapi ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จนเมื่อสองสามปีก่อนก็มีข่าวว่าจะสร้างหนังภาคต่อของ Thomas Crown Affair ในชื่อเรื่องว่า The Topkapi Affair ที่มีพระเอก Pierce Brosnan คู่กับนางเอกสุดเซ็กซี่อย่าง Angelina Jolie แต่ข่าวล่าสุดไม่แน่ใจว่าโครงการนี้พับไปหรือยัง ..น่าเสียดายนะคะ เพราะมิเช่นนั้นเราก็จะได้ชมความงามของพระราชวังและกรุสมบัติรวมทั้งตำนานเพชรในหนังที่เชื่อว่าน่าจะทำได้น่าสนุกและตื่นเต้นทีเดียวค่ะ
แม้จะนึกเสียดายว่าเขาไม่ให้ถ่ายภาพด้านใน แต่ด้านหลังของห้องท้องพระคลังสมบัติเหล่านี้ ก็มีจุดชมวิวที่สวยงามของอิสตันบูล เป็นจุดแรกที่นักท่องเที่ยวได้ยิ้มเบิกบานและส่งเสียงพูดคุย ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเลยล่ะค่ะ
จากจุดนี้ ถ้าคิดว่ามันเป็นจุดชมวิวที่สวยแล้ว ..ยังหรอกค่ะ ในพระราชวังแห่งนี้ ยังมีจุดชมวิวสองฝั่งทวีปที่สวยงามอีกสองสามจุดนะคะ
ดิฉันเลือกพักการเดินชมไว้ก่อน เมื่อเจอจุดชมวิวอันสวยงามบริเวณคาเฟ่แห่งนี้ ด้านบนของคาเฟ่จะเป็นระเบียงที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพกันเยอะ เราสามารถเก็บภาพพาโนรามาได้บริเวณนี้ด้วย สวยงามมากทีเดียว จากด้านบนนี้ ยังสามารถมองเห็นแนวเขตกำแพงเมืองเก่าของอิสตันบูลได้อีกด้วยนะคะ อาหารในคาเฟ่ส่วนมากจะเป็นพวกแซนด์วิช เคบับ ขนมหวาน เค็ก และเครื่องดื่มต่างๆ แต่เคบับที่นี่ราคาค่อนข้างสูงมาก ดิฉันเลือกเคบับไก่ 18TL ราคาแพงจริง แต่เมื่อคิดว่าจะใช้ที่นี่เป็นฐานทัพในการเสพทิวทัศน์แล้ว ก็ต้องไม่เสียดายหรือคิดโน่นนี่มากนัก ช่วงมื้อเที่ยงอาจจะหาที่นั่งทำเลดีๆ ยากสักหน่อย บางคนก็เลือกที่จะวางกระเป๋าจองที่นั่งริมทะเลไว้แล้วค่อยไปสั่งอาหาร ทำให้ดิฉันไม่ได้ที่นั่งริมทะเล แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถัดมาอีกสักโต๊ะก็ชื่นชมบรรยากาศได้เหมือนกัน
ที่คาเฟ่แห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวเวียนเข้าออกตลอดเวลานะคะ... จะนั่งนานแค่ไหน เขาก็ไม่มาไล่หรือทำท่าไม่ดีใส่ลูกค้าที่นั่งชมวิวนานๆ อย่างนี้แหละค่ะถึงจะเรียกกว่าบริการดี อ้อ! ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราสามารถหาบริการ free wi-fi ของที่นั่นได้เสมอ ไม่แปลกใจว่าที่เขาบอกว่าอิสตันบูลเป็นศูนย์กลางทางการเงินของตุรกี ดิฉันคิดว่ามันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่จะเสริมให้สมบูรณ์ อย่างบ้านเราที่จะผลักดันสารพันโครงการ แต่บริการพื้นฐานอย่าง free wi-fi ของไอซีทีนี่ยังหาได้ยากอยู่ แม้จะเปิดให้ลงทะเบียนแล้ว ดิฉันก็ยังไม่เคยเข้าใช้บริการได้สักครั้งเดียว ไปเที่ยวเมืองนอกแท้ๆ ยังอุตส่าห์หันมาวิจารณ์เรื่องในบ้านเราเสียอีก อิอิ ...ไปเดินกันต่อดีกว่านะคะ
เดินชมครบทั้งสี่คอร์ทยาร์ดแล้ว แต่ต้องไม่ลืมส่วนสำคัญของพระราชวังแห่งนี้อีกส่วนหนึ่งคือ ฮาเร็ม ซึ่งอยู่บริเวณคอร์ทยาร์ดที่สอง ...สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าชมจากประตูหลัก ก็มาซื้อที่หน้าทางเข้าฮาเร็มนี่ได้เช่นกันค่ะ แต่ Audio Guide ไม่มีใครบริการ ณ จุดนี้นะคะ คำว่า ฮาเร็ม หรือ Harem เป็นคำนามที่ได้มาจากคำกริยา harama ในภาษาอาหรับหรืออารบิค ซึ่งหมายถึง ต้องห้าม หรือทำผิดกฎหมาย และหมายถึงสิ่งซึ่งเป็นที่ต้องห้าม หรือสิ่งที่จะต้องถูกเก็บไว้ให้ปลอดภัย ฮาเร็ม ในพระราชวังจึงเป็นที่ซึ่งสุลต่านอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัว เป็นเขตต้องห้ามสำหรับบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และเป็นเขตที่บุคคลในครอบครัวของสุลต่าน เช่น พระมารดา ชายา โอรสธิดา นางระบำของสุลต่าน จะต้องใช้ชีวิตอยู่เฉพาะในเขตหวงห้ามนี้โดยตัดขาดจากโลกภายนอก ว่ากันว่าฮาเร็มที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คือฮาเร็มในอิสตันบูลหรือพระราชวังแห่งนี้แหละค่ะ เพราะมีจำนวนห้องมากกว่า 300 ห้อง มี humman หรือห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ถึง 9 ห้อง แต่ห้องที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมจะเป็นเพียงห้องสำคัญบางห้องที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะสถาปัตยกรรมออตโตมันเท่านั้น เนื่องจากบางห้องของพระราชวังยังใช้เป็นสถานที่จัดงานรับรองของประเทศอยู่
ว่ากันถึงบทบาทของ Valide Sultan หรือพระมารดาของสุลต่านนั้น ไม่แตกต่างจากบรรดาไทเฮาของฮ่องเต้ทั้งหลายในประวัติศาสตร์จีนนัก โดยเฉพาะนางร็อกซานา (Roxelana) ซึ่งเป็นเพียงทาสสาวสวยชาวรัสเซียในฮาเร็ม แต่เป็นที่โปรดปรานของสุลต่านสุไลมาน (ผู้สร้างฮาเร็มนี้ขึ้นใน Topkapi Palace ราวปี ค.ศ.1550) จนต่อมานางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีคนโปรด มีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องสำคัญหลายอย่างแทนสุลต่านสุไลมาน เมื่อสุลต่านสิ้นพระชนม์ พระโอรสของนางก็ได้ขึ้นครองราชย์ บทบาทของนางจึงยิ่งโดดเด่นและทรงอิทธิพลในฐานะพระราชชนนีที่กุมอำนาจในราชสำนักทั้งหมด ...ถึงตรงนี้นึกถึงซูสีไทเฮาใช่มั้ยคะ ผู้หญิงของสุลต่าน นอกจาก Valide Sultan พระมารดาแล้ว ยังมีตำแหน่งอื่นอีกเช่น Kadinefendi ซึ่งก็คือพระมเหสีที่ให้กำเนิดโอรสหรือธิดาองค์แรกของสุลต่าน Ikballer คือนางสนมที่มีลูกให้กับสุลต่าน ไล่ไปจนกระทั่ง Gozdeler ที่เป็นเพียงทาสสาวมีสถานะเป็นเพียงแค่นางบำเรอเพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรหรือธิดาแก่สุลต่านได้ นอกจากนั้น ก็มี "ขันที" หรือ eunuch (ยูนัค) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทาสผิวดำชาวคอเคซัส ซูดาน หรือเอธิโอเปีย ที่ส่วนมากถูกจับเมื่อคราวพ่ายสงครามบอลข่าน น่าแปลกที่ทาสผิวดำยอมให้ตอนอวัยวะเพศทิ้งทั้งหมด แต่ทาสผิวขาวมักจะยังคงเหลืออวัยวะเพศบางส่วนอยู่ ไม่ได้ถูกตอนทั้งหมด ดังนั้น ทาสผิวดำจึงได้รับการคัดเลือกให้ทำงานรับใช้อย่างใกล้ชิดในฮาเร็มมากกว่าโดยเฉพาะเรื่องของความลับต่างๆ และสตรีเพศในฮาเร็ม จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหากในฮาเร็มก็จะมีการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจระหว่างคนเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลา
ดิฉันใช้เวลาอยู่ใน Topkapi Palace แห่งนี้ถึงหกชั่วโมงเต็ม ยังรู้สึกว่ามีบางห้องที่แอบหลงไม่ได้เข้าไปชม บางส่วนก็ไม่ได้เปิด สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจชม ดิฉันแนะให้คลิกไปชมฮาเร็มในพระราชวังแบบ 360ํ กันนะคะ เชื่อว่าจะชอบในความงดงามของพระราชวังแห่งนี้ แม้จะเป็นแค่ส่วนของฮาเร็มเท่านั้น ในส่วนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพระราชวัง ก็สามารถดูได้ที่ http://www.topkapisarayi.gov.tr ไว้ค่อยไปเที่ยวอ่างเก็บน้ำ Yerebatan กันต่อนะคะ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |