คุณแม่ผู้มีลูกเคยสมาธิสั้นและต้องสอนเด็กสมาธิสั้น
เรื่องราวดีๆ ของคุณแม่คนหนึ่ง ที่นำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับ เด็กสมาธิสั้น อีกประเภทหนึ่ง ซึงเกิดจากปัจจัยภายนอก สามารถรักษาให้หายได้ หากคุณพ่อคุณแม่ ให้ความรักและความเข้าใจในตัวลูก คอยสังเกตพฤติกรรม หาสาเหตุของอาการที่เป็น ค้นหาความรู้เพิ่มเติมและนำมาปรับใช้กับลูก ก็จะประสบความสำเร็จอย่างคุณแม่ท่านนี้ค่ะ แม่นำคิดว่า ไม่ว่าลูกเราจะเป็นเด็กพิเศษ ประเภทใด หรือเป็นเด็กปกติ ก็สามารถนำแนวคิด ดีๆ มาปรับใช้กับลูกได้ค่ะ สู้เพื่อลูกนะคะ อย่าท้อถอยเป็นอันขาดค่ะ
คุณแม่ผู้มีลูกเคยสมาธิสั้นและต้องสอนเด็กสมาธิสั้น
http://www.oknation.net/blog/2cute
สวัสดีค่ะคุณแม่นำ
บังเอิญสองเรียนจิตวิทยามาด้วยทำไห้สองเข้าใจเด็กเหล่านั้นและจึงทำไห้เป็นการช่วยผู้ปกครองเด็กอีกแรงหนึ่ง สองแนะนำว่าถ้าใครมีลูกที่มีสมาธิสั้น ถ้าหากสามารถหาโรงเรียนที่มีครูเรียนจิตวิทยาพัฒนาการหรือจิตวิทยาเด็กโดยตรงยิ่งดีรวมทั้งเรียนจิตวิทยาการสอนด้วยจะช่วยได้เด็กอาการดีขึ้นได้เร็ว (แต่สองไม่รับนะคะเพราะอาชีพหลักของสองไม่ได้เป็นครูถึงแม้จะจบวิชาครูมาก็ตาม) ยังไงก็ขอเอาใจช่วยคุณแม่หลายๆคนที่มีปัญหาเดียวกันนะคะ
สิ่งที่สองเขียนไปในบล็อกเป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมดค่ะ
บทความของคุณ สอง
ความรู้สึกของแม่เมื่อรู้ว่าลูกสมาธิสั้น
เคยได้ยินคำว่าเด็กสมาธิสั้นมาบ่อยมาก แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาประสบด้วยตนเอง......
ไม่รู้เลยว่าลูกเริ่มเป็นเมื่อไหร่แต่ตอนเจอสาเหตุนั้นเขาอายุ 9 ขวบครึ่ง
เคยสงสัยว่าทำไมการเรียนลูกแย่ลงทั้งๆ ที่ลูกดูเหมือนคนมีความจำแม่น และฉลาด ช่างพูด ช่างถาม
เริ่มจากลูกชายมีอาการเจ็บป่วยทางกายคือแพ้สารพิษในอาหารทะเล ต้องเข้านอนโรงพยาบาลกลางดึกคืนหนึ่ง....ลูกมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรงและผื่นขึ้นเต็มตัว สองคืนผ่านไปอาการก็หายและได้กลับบ้าน แต่....
ลูกเริ่มอาเจียนอีกและบ่อยครั้งจนน่ากลัวโดยเฉพาะหลังอาหาร จึงพาลูกกลับมานอนที่โรงพยาบาลอีก คุณหมอก็บอกว่าอาการแพ้อาหารรักษาแล้วก็จะหายไปเลยไม่มีอาการต่อเนื่องแบบนี้ครั้งนี้นอนโรงพยาบาล 3 คืน และกลับบ้านแต่ก็ต้องกลับมาโรงพยาบาลอีก สลับกันเช่นนี้เดือนเศษ บางอาทิตย์ต้องนอนโรงพยาบาลถึงสามครั้ง
ในที่สุดคุณหมอต้องตัดสินใจตรวจทุกอย่างตั้งแต่เลือด ปัสสาวะ หัวใจ ตับ ม้าม ปอด กะเพาะอาหารฯ ทั้งตรวจทางแล็บ อัลตราซาวด์ และเอ็กซเรย์ สรุปแล้วไม่เจอสาเหตุแต่ดิฉันกับคุณหมอได้เริ่มรู้สาเหตุของการอาเจียนของเด็กแล้วว่าทำไมลูกถึงมีอาการเช่นนี้ เพราะเราจะสังเกตุว่าลูกจะมีอากรปวดศรีษะและอาเจียนเย็นวันอาทิตย์ และลูกพยายามอาเจียนออกมาเองโดยร่างกายไม่ได้สั่ง
ทั้งตัวดิฉันกับคุณหมอก็เริ่มมองไปที่ปัญหาที่โรงเรียน จึงได้คุยกับลูก ก็ทราบว่าลูกถูกครูดุที่ขาดเรียนบ่อย และครูบอกว่าทำแบบนี้จะทำไห้ไม่มีสิทธิ์สอบ ทั้งๆที่เรามีใบรับรองแพทย์ไปแล้วและเด็กไม่สบายจริง โทรบอกโรงเรียนทุกครั้งที่ลูกนอนโรงพยาบาล มาดูการบ้านลูกทำไม่ทันจึงไปขอการบ้านจากเพื่อนในห้องเรียนเดียวกัน ทุกคนในบ้านช่วยเขา(ไม่ได้ทำไห้แต่ช่วยหาข้อมูล) และงานที่ค้างก็ทำจนครบแล้ว....แต่ลูกก็ยังไม่หายปวดศรีษะและยังอาเจียนอยู่.....คุณหมอจึงแนะนำไห้พาลูกไปหาจิตแพทย์
"คุณแม่ต้องพาลูกไปพบจิตแพทย์แล้วนะ" แพทย์ที่รักษาลูกชายในขณะนั้นบอกดิฉันวันหนึ่ง หลังการรักษาทางกายติดต่อกันมานาน 2 เดือน ที่ลูกอาเจียนและมีอาการปวดศรีษะมาก แต่ก็หาสาเหตุทางกายไม่พบ
เมื่อได้ยินคำว่า "จิตแพทย์" ก็ทำไห้ดิฉันเกิดอาการช็อคขึ้นมาทันที หลายสิ่งหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในความคิดจนสับสนวุ่ยวายไปหมด ความที่ตนเองเป็นคนไทยที่ยังไม่ชินกับคำนี้ ถึงแม้จะทำงานกับฝรั่งมาเกือบ 20 ปี เห็นฝรั่งจำนวนมากต้องพาลูกกับตัวเองเข้าพบจิตแพทย์จนน่าจะเคยชิน แต่ดิฉันก็ยังไม่ชินกับคำๆนี้ คำว่าจิตแพทย์
แล้วหันมานั่งทบทวนหลายๆอย่างมากมาย คิดโทษตนเองสารพัด คิดโทษตนเองตลอดว่าเราเลี้ยงลูกแบบไหนทำไมเราต้องพึ่งจิตแพทย์ จิตวิทยาพัฒนาการและสารพัดจิตวิทยาก็เรียนมาแล้ว ทำไมเรานำสิ่งที่เรียนมาใช้กับลูกไม่ได้เลยหรือ ความคิดเหล่านี้วกวนมาในสมองอยู่นานเป็นอาทิตย์ จนกระทั่งเจ้านายสังเกตุเห็น จึงถูกเรียกไปคุยซึ่งตอนนั้นเจ้านายรู้แล้วว่าลูกถูกนำส่งเข้าโรงพยาบาลตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา
เมื่อเจ้านายรู้ว่าดิฉันเครียดเพราะเรื่องนี้เจ้านายเลยบอกว่า "งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ที่ทำงานของเรามีนักจิตวิทยาอยู่ 2 คน เธอไปคุยและเล่าเรื่องของลูกไห้เขาฟังก่อน เล่าไปไห้หมดแล้วดูว่าเขาจะแนะนำอะไรได้บ้าง เธอหายเครียดแล้วค่อยมาว่าเรื่องลูก แต่อย่าปล่อยไห้นาน เพราะเรื่องลูกปล่อยนานไม่ได้นะ แต่ยังไงฉันก็มีความเห็นตรงกับแพทย์ที่บอกว่าลูกของเธอต้องการจิตแพทย์"
หลังจากคุยกับนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ทำงาน 2 ครั้ง เล่าเรื่องทุกอย่างไห้เขาฟังเขาก็บอกว่า ลูกชายน่าจะมีอาการสมาธิสั้นนะ แต่นี่เป็นการสันนิษฐานเบื้องต้น จริงๆแล้วต้องใช้แบบสอบถาม และต้องได้คุยกับเด็กเองถึงจะสามารถบอกได้ว่าเด็กมีอาการสมาธิสั้นจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาคนนี้ต้องการจะช่วยโดยตรงแต่แบบสอบถามของที่ทำงานไม่มีภาษาไทยเลย แล้วคนที่ต้องทำแบบสอบถามก็คือครูที่สอนวิชาหลักของลูกซึ่งเป็นคนไทยล้วน ถ้าจะไห้เอาไปแปลก็เสียเวลาอีก ทุกคนจึงแนะนำว่าพาลูกไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลจะดีกว่า
ตอนนี้ความรู้สึกของดิฉันผ่อนคลายไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่มากนัก ยังไงก็กังวลอยู่ ดิฉันรู้สึกกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายไปด้วยเหมือนกัน เพราะหันไปดูค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลตลอดสองเดือนนั้น เป็นตัวเลข 6 หลักไปแล้ว แต่ตัวนั้นช่างมันเถอะเพราะเราทำประกันสุขภาพไห้กับลูกไว้ที่ทำงาน แต่เราเริ่มเปรียบเทียบแล้วว่า ถ้าพบจิตแพทย์นี่เราต้องจ่ายเองทั้งหมดและต้องพบแพทย์ต่อเนื่องเป็นปี หรือเป็นหลายๆปี เราคนเดียวเราจะรับภาระไหวหรือ มาถึงตรงนี้ก็เครียดอีกแล้ว ความรู้สึกอยากจะร้องไห้มาก แต่ก็ทำไม่ได้ ร้องไห้ที่ทำงานก็ไม่ได้ กลับไปร้องไห้ที่บ้านก็ไม่ได้ กลัวลูกเห็น เราต้องทำตัวเป็นทั้งพ่อและแม่ไห้ลูก ดังนั้นลูกจะเห็นความอ่อนแอของเราไม่ได้
เจ้านายคงยังสังเกตเห็นว่าเรายังไม่ผ่อนคลายเสียทีเดียวจึงแนะนำไห้เราได้คุยกับหลาย ๆคนที่มีลูกมีอาการสมาธิสั้นเหมือนกัน และพวกเขาเหล่านั้นก็แนะนำเราหลายอย่าง มันทำไห้เรามีความรู้สึกผ่อนคลายไปบ้าง
หลังจากนั้นเราจึงตัดสินใจโทรไปที่โรงพยาบาลเพื่อนัดคุยกับจิตแพทย์ และก็ถามทางโรงพยาบาลไปว่าขอด่วนที่สุดได้เมื่อไหร่ (อายุรแพทย์ที่รักษาลูกชายไห้พบจิตแพทย์ที่ทำงานวันอาทิตย์เพราะเป็นจิตแพทย์เด็กโดยตรง) เขาบอกว่าเร็วที่สุดคือวันเสาร์ (ขณะนั้นวันพุธ) เพราะจิตแพทย์ที่นี่มีเฉพาะเสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น จันทร์-ศุกร์เขาทำงานที่โรงพยาบาลอื่น ดิฉันเลือกวันเสาร์เพราะเร็วสุด ถ้าหากรอวันอาทิตย์ต้องรอไปอีก 27 วันเพราะจิตแพทย์คนนั้นคนไข้เยอะมากและพักร้อนอีก 1 อาทิตย์ ดิฉันอยากไห้ลูกได้พบแพทย์เร็วๆ จึงต้องเลือกวันเสาร์ เพราะลูกยังทรมาณกับอาการปวดศรีษะไม่หาย ตอนนั้นคิดว่า ช่างเถอะจะเป็นคนใหนก็จิตแพทย์เหมือนกัน
ผลสรุปหลังจากคุยกับจิตแพทย์วันแรก ลูกชายไอคิวเกือบ 120 แต่น่าจะมีอาการสมาธิสั้นจริง จากการพูดคุยและไห้เด็กวาดภาพ เด็กเก็บรายละเอียดบางอย่างได้ไม่ครบสมกับวัย นี่คือคำพูดของจิตแพทย์ ดังนั้นคุณแม่ต้องเอาแบบสอบถามไปไห้คุณครูที่สอนวิชาหลัก คือ ภาษาไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคมและวิทยาศาตร์ รวมทั้งผู้ที่ใกล้ชิดกับลูกที่สุดในบ้านทำก่อน
ดิฉันก็ต้องรอไปอีก 1 อาทิตย์เพื่อรอแบบสอบถามจากทางโรงเรียนแล้วนำไปไห้คุณหมอ .........
และแล้วแบบสอบถามจากทางโรงเรียนและทางบ้านก็ถูกนำไปไห้จิตแพทย์ เมื่ออ่านข้อมูลแล้วท่านก็บอกว่าลูกชายมีอาการสมาธิสั้นเหมือนกับที่สันนิษฐานตั้งแต่ต้น
คุณหมอขอคุยกับลูกชายเป็นการส่วนตัวอีก ครั้งนี้ลูกชายมีอาการผ่อนคลายมากขึ้น คุยกันนานมากน่าจะเกือบ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นพยาบาลพาลูกออกไปเล่นจุดที่เป็นของเล่นแล้วดิฉันก็ถูกเรียกตัวเข้าไปคุยแทนลูกชาย
ครั้งที่แล้วที่พบคุณหมอดิฉันเล่าถึงสาเหตุที่ทำไห้ลูกมีอาการเช่นไปนี้แล้วคือ
หนึ่ง ลูกถูกรุ่นพี่ในรถโรงเรียนข่มขู่ไม่ไห้ไปเล่นกับเพื่อนกลุ่มอื่น ต้องเล่นกับกลุ่มนี้เท่านั้น ซึ่งลูกไม่ชอบวิธีการนี้
สอง เพื่อนรุ่นพี่ในรถเสียงดังมากและบังคับไห้เขาพูดคุยขณะอยู่ในรถแต่เขาอยากพักหลังจากเล่นฟุตบอลเหนื่อยหลังเลิกเรียนทุกวัน
และสาม ลูกถูกครูตีและดุโดยไม่ถามสาเหตุก่อนซึ่งทำไห้ลูกไม่ชอบวิธีการแบบนี้อย่างมาก
คุณแม่เลี้ยงลูกได้ดีมาก ลูกชายเป็นคนสุภาพมาก มีเหตุผล และรักแม่มาก ครอบครัวดูอบอุ่นถึงเขาจะขาดพ่อ แต่บางครั้งเขาอาจจะเป็นผู้รับมากจนเกินไปเพราะเนื่องจากเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในบ้านและเป็นหลานคนเดียวที่คุณยายเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เช่นทราบว่าเด็กไม่เคยต้องทำอะไรเองแม้กระทั่งหยิบเสื้อผ้า ต่อไปนี้คุณแม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองและคนในบ้านไห้หมด ลูกต้องรู้จักที่จะรับผิดชอบตัวเอง หยิบหาเสื้อผ้าใส่เอง เขา 9 ขวบแล้วนะคุณแม่ พาเขาทำกิจกรรมให้มาก ไห้เขามีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบบ้าง เช่นหาสัตว์ไห้เขาเลี้ยงและไห้เขาดูแลสัตว์เลี้ยงของเขาด้วยตัวเอง เขาเป็นเด็กอ่อนโยนเขาเลี้ยงสัตว์ได้ พาเขาไปนั่งสมาธิบ้าง เข้าวัดทำบุญ นี่เป็นคำพูดของคุณหมอ
คุณหมอเล่าไห้ฟังต่อว่าคุณหมอถามและคุยกับลูกชายหลายเรื่องมากทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องทางบ้าน โรงเรียนและทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก คุณหมอยกตัวอย่างสั้นๆว่า หมอถามเขาว่า (ที่จริงคุณหมอเรียกชื่อเล่นของลูกชาย) ที่บอกว่าเพื่อนรุ่นพี่พูดไม่ดีด้วยเพื่อนพูดคำไหน ลูกชายตอบว่า " ผมไม่ขอพูดดีกว่าเพราะเป็นคำไม่ดี ไม่สุภาพ ไม่ชอบพูดและไม่เคยพูด " (จริงๆแล้วลูกชายเล่าไห้แม่ฟังแล้วแต่คงไม่กล้าเล่าไห้หมอฟัง เพราะมันเป็นภาษาพ่อขุนราม และบางคำก็มีสัตว์เลื้อยคลานปนมาด้วย) คุณหมอถามต่อว่า ทำไมหนูไม่บอกแม่ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นคุณแม่จะได้ช่วย ลูกชายตอบว่า " ผมบอกไปแล้ว 2-3 ครั้งเมื่อปี่ที่แล้วแต่เห็นแม่เฉยๆผมเลยไม่พูดอีก ไม่อยากไห้แม่ไม่สบายใจ"
ฟังถึงตรงนี้น้ำตาของดิฉันไหลพรากทันที เมื่อปีที่แล้วที่ลูกเล่าไห้ฟังดิฉันคิดว่า ลูกคงเป็นเด็กช่างฟ้องเพราะเขาเป็นคนช่างพูดอยู่แล้ว ดิฉันคิดเองว่าเรื่องแค่นี้ลูกคงแก้ไขเองได้ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกจะถูกกดดันมาตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ดิฉันสังเกตภายนอก ก็ดูว่าเด็กกลุ่มนั้น ก็พูดจาดีกับลูกต่อหน้าเราทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเด็กเหล่านั้นเป็นเด็กก้าวร้าวอย่างมาก แต่ต่อหน้าเราเขาไม่เคยแสดงออก เราไม่รู้มาก่อนว่าลับหลังมันเป็นคนละเรื่องเลย ถึงตรงนี้ดิฉันคิดได้แล้วว่า ต่อไปนี้จะต้องเอาใจใส่ในคำพูดและความคิดของลูกไห้มากกว่านี้
หลังจากนั้นคุณหมอพูดต่อว่า คุณแม่ก็ทราบสาเหตุแล้วว่าลูกเครียดเรื่องอะไร ต่อไปนี้เป็นหน้าของคุณแม่แล้ว และก็หันมาพูดต่อเรื่องอาการสมาธิสั้นของลูก ดิฉันถามคุณหมอว่าอาการสมาธิสั้นเกิดจากอะไร (ตอนนั้นมืดแปดด้านจริงๆเพราะไม่รู้และไม่เคยศึกษามาก่อน) คุณหมอตอบว่าเกิดจากการที่ร่างกายหลั่งสารเคมีตัวที่จะทำไห้สมองเข้ามาควบคุมสมาธิไม่เพียงพอ ดิฉันถามต่อว่า แล้วทำไมร่างกายถึงหลั่งสารเคมีตัวนี้ออกมาไม่เพียงพอ คุณหมอตอบสั้นๆว่าเป็นปฏิกิริยาทางร่างกายเอง
หลังจากนั้นคุณหมอก็บอกถึงตัวยาที่ต้องไห้ลูกทาน และขนาดการใช้ยา และจำนวนที่ต้องใช้ต่อวันต่อครั้งตามปกติ พร้อมบอกถึงผลข้างเคียงของการใช้ยาที่เรียกว่ายาปรับพัฒนาการตัวนี้ (Ritalin) ถ้าสะกดผิดต้องขออภัย ผลข้างเคียง ของมันคือ ทำไห้ไม่หิวข้าว นอนไม่หลับ และปวดศีรษะ
ดิฉันไม่ได้ไห้ลูกทานยาทันทีเพราะห่วงเรื่องผลข้างเคียง รออยู่ 3 วันจนต้องตัดสินใจไห้ลูกทานยา วันแรก วันที่สองผ่านไปไม่มีอะไร แต่วันที่ 3 ลูกบอกว่าไม่ง่วงซึ่งตอนนั้น 5 ทุ่มแล้ว ซึ่งปกติ 2 ทุ่มเขาก็หลับแล้ว
วันต่อมาดิฉันเข้าไปรายงานไห้เจ้านายทราบ (เจ้านายขอไห้รายงานผลเรื่องลูกให้ฟังตลอด) แต่พอเจ้านายทราบว่าแพทย์สั่งยาก็ทำหน้าไม่สบายใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่บอกว่า เอายาตัวนี้ไปไห้นักจิตวิทยาของเราดูและเล่าอาการของลูกหลังการใช้ยาให้เขาฟังด้วยนะ อย่าลืม เจ้านายเน้น
วันนั้นเองเจ้านายเอ่ยว่า ฉันขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องอาการสมาธิสั้นของลูกเธอทั้งหมดนะ ดิฉันเริ่มลังเล แต่เจ้านายบอกว่า ไม่เป็นไร ฉันไม่มีปัญหา เธอยังต้องรับภาระค่าเล่าเรียนของเขาและหลานอีก 2 คน ตรงนี้ฉันช่วยนะ ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะเธอและหมอก็ยังไม่รู้ว่าลูกต้องหาหมอนานแค่ไหน กี่เดือนกี่ปีก็ยังไม่รู้ แล้วเจ้านายก็เข้ามากอดตามธรรมเนียมฝรั่ง (เจ้านายเป็นหญิงชาวอเมริกัน)
หลังจากนั้นดิฉันก็เข้าไปพบนักจิตวิทยาที่ที่ทำงานและนำยาไปไห้เขาดู และเล่าอาการของลูกไห้เขาฟัง เขาฟังและเห็นยาก็แสดงสีหน้าเป็นกังวลและพูดว่า.............
นักจิตวิทยาแสดงสีหน้ากังวลหลังจากที่ดิฉันได้เล่าอาการของลูกชายหลังการใช้ยาไห้ฟัง และดิฉันก็ได้ยื่นยาปรับพัฒนาการ(Ritlin) ที่จิตแพทย์จากโรงพยาบาลสั่งไห้ทาน ให้ท่านดู แล้วท่านก็เอ่ยว่า
ฉันเป็นนักจิตวิทยา ไม่ใช่จิตแพทย์จึงไม่ชำนาญในเรื่องการใช้ยาแต่ฉันก็รู้ดีว่ายาตัวนี้คือยาปรับพัฒนาการที่ใช้กับเด็กพิเศษแบบนี้ ฉันไม่เคยเห็นด้วยกับจิตแพทย์ที่ไห้เด็กทานยาในทุกกรณี เด็กบางคนต้องการยา แต่เด็กบางคนไม่ต้องการ ฉันมีหนังสืออยู่ 80 เล่มเศษ อยู่บนชั้นหนังสือนี่ หนังสือแต่ละเล่ม บ่งบอกถึงแต่ละสาเหตุที่จะทำไห้การเกิดสมาธิสั้นในเด็กและในวัยรุ่น เธอสามารถยืมไปอ่านได้เลย (ท่านเล่าไห้ฟังดีกว่าเพราะแต่ละเล่มไม่มีภาษาไทยเลย ดิฉันคิดในใจ) ดังนั้นการใช้ยาไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันต้องหาสาเหตุที่เกิดแล้วแก้ปัญหาจากสาเหตุนั้นจะถูกต้องกว่า ท่านพูดต่อ
จากที่เธอเล่าไห้ฟังสาเหตุจากการเกิดสามาธิสั้นของลูกเธอนั้นมันเป็นปัญหาจากภายนอก ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากภายใน (It’s the External Problem not Internal) (บทสนทนาของเราเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะท่านพูดภาษาไทยไม่ได้เลย) ลูกของเธอถูกกลั่นแกล้งและข่มขู่บนรถและในโรงเรียน แล้วยังไปเจอครูที่ใช้คำพูดแบบไม่มีจิตวิทยาที่โรงเรียนอีก ครูก็ไม่ถามสาเหตุก่อนการทำโทษเด็กอีก และอาจจะมาจากการเลี้ยงดูลูกของเธอด้วย นี่คือสาเหตุความกดดันต่างหาก มันไม่ได้เกิดจากภายในร่างกายเด็กเองหรอก มันต้องแก้ปัญหาตรงนี้ต่างหากถึงจะถูกต้อง
แล้วอีกอย่างที่เธอบอกว่าลูกเธอนอนไม่หลับหลังการใช้ยานี่นะ ฉันเห็นแล้วว่าเขาไห้เด็กทานยาวันละ 3 ครั้ง จริงๆแล้วยาตัวนี้ หลังเที่ยงไปแล้วก็ไม่ควรไห้เด็กทานเพราะมันจะทำไห้เด็กนอนไม่หลับ นี่ทำไมเขาไห้ทานยาตอน เช้า กลางวัน และแถมมีรอบบ่าย 3 โมงอีก แต่เมื่อเขาบอกว่าต้องใช้ยามันก็คงต้องใช้แต่ฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ฉันแนะนำไห้เธอโทรไปหาหมอภายในวันนี้เลยนะบอกเขาว่าจะลดการใช้ยาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บอกว่าเธอจะไห้ลูกทานยาตอนเช้าและเที่ยงเท่านั้น หลังเที่ยงไม่ไห้ทานแล้ว แต่ยังไงก็ต้องบอกเขาก่อนเขาจะได้เปลี่ยนข้อมูลการรักษาลูกของเธอด้วย
ดิฉันเริ่มมีอาการเหมือนคนลอยอยู่ในอากาศ นี่ถ้าหากที่ทำงานของดิฉันไม่มีนักจิตวิทยาอยู่ดิฉันจะได้รู้ข้อมูลเหล่านี้มั้ย แล้วถามตัวเองในใจว่าดิฉันเรียนรู้อะไรน้อยไปหรือเปล่า ในชีวิตนี้ดิฉันต้องเรียนรู้ทุกอย่างหรืออย่างไรถึงจะทันโลกและทันโรค ดิฉันตัดสินใจทันทีว่าต้องโทรไปหาหมอเพื่อขอลดยาตามที่นักจิตวิทยาคนนี้แนะนำ
ท่านพูดต่อว่า อีกอย่างเธอรู้แล้วว่าสาเหตุทุกอย่างเกิดจากโรงเรียนเป็นส่วนมาก เธอก็ต้องไปที่โรงเรียนและไปคุยกับครูเขาซะ ไห้เขาจัดการไห้ อีกส่วนก็คืออาจจะเป็นตัวเธอด้วย จัดการกับตรงนั้นซะตรงที่หมอเขาแนะนำมาแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
จริงๆแล้วดิฉันติดต่อกับทางโรงเรียนและไปคุยกับผู้บริหารโรงเรียนตลอดหลังจากเกิดเรื่องนี้ แต่ทางโรงเรียนไม่ทำอะไรไห้เลย และยังพูดกับลูกชายต่อหน้าดิฉันด้วยว่า แหมเรื่องแค่นี้เองเธอทนไม่ได้แล้วเหรอ แล้วต่อไปถ้าเธอเจอร้ายกว่านี้เธอจะสู้เขาไหวเหรอ ดิฉันตกใจกับคำพูดของผู้บริหารคนนั้นมาก
จากอาการที่ลูกชายเดินข้างๆแม่ยิ้มแล้วสวัสดีคุณครูแต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้เขาหลบมายืนข้างหลังดิฉันทันทีแล้วจับมือดิฉันจนแน่น
ดิฉันไม่คิดว่าท่านจะพูดเช่นนั้นออกไปเช่นนั้น แล้วเขาพูดต่อว่า ไปพบจิตแพทย์แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ดิฉันรู้สึกโกรธมากวันนั้น ในขณะที่การไปพบจิตแพทย์ครั้งนี้ดิฉันและคนรอบข้างไม่ได้เล่าไห้ลูกชายฟังทั้งหมด ได้แต่บอกเขาว่าจะมีคุณหมออีกคนมาช่วยรักษาคุณหมอคนนี้จะช่วยทำไห้หนูหายจากอาการปวดศรีษะและอาเจียนที่เป็นอยู่ ลูกชายกลัวมาก
เขากลัวว่าเขาจะเป็นอะไรรุนแรงจึงตั้งคำถามบ่อยว่า แม่ผมเป็นอะไร ผมจะหายมั้ย ผมจะตายมั้ย ทุกคนแม้กระทั่งจิตแพทย์เองก็มีวิธีการที่พูดแล้วทำไห้เขาสบายใจ แม้กระทั่งที่โรงพยาบาลเองก็ไม่ติดป้ายหน้าห้องด้วยว่านี่เป็นแผนกอะไรและห้องของท่านก็อยู่ตรงกันข้ามกับแพทย์อีกคนที่รักษาทางกายไห้ลูกชาย เปิดประตูมาก็เจอกัน
ทุกๆคนพยายามทำไห้คิดว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรมากไปกว่าการเจ็บป่วยเหมือนคนทั่วไปที่ต้องหาหมอ เพียงแต่บอกเขาว่า หมอแต่ละคนก็ชำนาญกันคนละด้านนะลูกดังนั้นหนูต้องหาหมอเพิ่มอีกคน เพราะว่าคนนี้เขาถนัดเรื่องอาการปวดศรีษะในเด็ก
นี่คือสิ่งที่ดิฉันบอกลูก ไม่คิดเลยว่าลูกต้องมารู้ความจริงจากปากผู้บริหารของโรงเรียนคนนี้ ดิฉันรู้เลยว่าเมื่อถึงบ้านลูกชายจะตั้งคำถามมากมายถึงเรื่องนี้เพราะเขาเป็นเด็กช่างซัก ช่างถามอยู่แล้ว
เอาหละดิฉันคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่างแล้วหละ ถ้าไม่งั้นลูกคงไม่หายจากอาการนี้แน่นอน....
ดั่งที่คาดการณ์ไว้ เมื่อมาถึงบ้านตอนเย็นลูกชายถามตลอดว่า เขาเป็นอะไร จิตแพทย์แปลว่าอะไร ทำไมเขาต้องไปหาจิตแพทย์ ดิฉันต้องหาวิธีการพูดกับลูกหลายวิธีเพื่อไห้เขาสบายใจ แต่กว่าเขาจะหยุดถามดิฉันก็เครียดจนนอนไม่หลับ ดิฉันโกรธผู้บริหารโรงเรียนนั้นไม่หาย ทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้นออกมา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนทำงานระดับนี้แล้วไม่รู้เลยหรือว่าอะไรควรและอะไรไม่ควรพูด
วันรุ่งขึ้นเมื่อไปถึงที่ทำงานดิฉันเลยไปเล่าไห้เจ้านายฟังถึงเรื่องที่ผู้บริหารของโรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ตั้งคำถามกับลูกชายวันก่อน เจ้านายฟังแล้วพูดขึ้นว่า "What da HECK!" ขออนุญาตไม่แปลนะคะ เนื่องจากเจ้านายเป็นชาวอเมริกันก็เลยหลุดคำพูดที่เป็นแสลงออกมาต่อหน้าดิฉัน แต่ไม่บ่อยนัก
จากนั้นเพื่อนร่วมงานชาวอังกฤษคนหนึ่งที่มีลูกสมาธิสั้นเหมือนกันก็เดินเข้ามา แล้วเธอก็เข้ามาคุยด้วย เช้าวันนั้นเราคุยกันเป็นชั่วโมงถึงเรื่องที่จะต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ไห้จบไห้เร็วไห้ได้
คนหนึ่งถามดิฉันว่า " ลูกของเธอเรียนเร็วไปหรือเปล่า " ดิฉันตอบว่าใช่ ในห้องเรียนมี 30 กว่าคน มีเด็กอายุเท่ากันกับเขาแค่ 3 คนท่านั้น นอกนั้นอายุมากกว่า แล้วเจ้านายก็เอ่ยว่า " นี่คงเป็นสาเหตุความกดดันอีกอย่างหนึ่ง การที่เด็กอยู่ในชั้นเรียนไม่สมกับวัยของตนเองก็เป็นการกดดันเด็กทำไห้เขาเครียดจนกลายเป็นสมาธิสั้นได้ "
คนหนึ่งพูดออกมาว่า " ลดชั้นเรียนลูกดีมั้ย " ดิฉันตอบว่ามันจะทำไห้เขาเครียดไปใหญ่ เพราะเพื่อนไปไกลกว่าเขาแล้ว แต่ตัวเองต้องถอยหลังลงมา เจ้านายบอกว่า " ถ้างั้นย้ายโรงเรียนซิแล้วขอลดชั้น " แต่ดิฉันแย้งไปว่าลูกชายยังไม่พร้อมที่จะไปปรับตัวไห้เข้ากับโรงเรียนแห่งใหม่นะ สภาพจิตใจเขาไม่พร้อมจริงๆ
จริงๆแล้วเมื่อเริ่มเรียนการเรียนของลูกชายดีมาก สอบได้อันดับต้นๆของห้อง แต่มีปัญหาหลังจากมีภาวะความเครียดนี่เอง
เพื่อนร่วมงานชาวอังกฤษพูดว่า " จริงๆแล้วการเกิดสมาธิสั้นส่วนหนึ่งเกิดจาดภาวะการขาดแม็กนีเซียมในร่างกาย ฉันไม่ได้ไห้ลูกของฉันทานยารักษา แต่ไห้เขาทานแม็กนีเซียมเม็ดแทน " ดิฉันเริ่มเหวออีกแล้ว แล้วเจ้าแม็กนีเซียมนี่มันอยู่ในอาหารประเภทใหนล่ะ ตั้งแต่เด็กดิฉันจำได้แต่ คาร์โบไฮเดรด ไขมัน โปรทีน วิตะมินต่างๆ ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรและโทษต่อร่างกายอย่างไร และมันในอาหารประเภทใหนบ้าง ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าแม็กนีเซียมมันมีประโยช์อย่างไร และมีในอาหารประเภทใหน
ดิฉันขอตัวเจ้านายขอไปพบนักจิตวิทยา เขาอณุญาต (ในช่วงเวลานั้นทุกคนเข้าใจดิฉันดีมาก หลายๆคนไม่ค่อยเอางานมาไห้ดิฉันทำเท่าไหร่ ทุกคนพยายามทำงานกันเองโดยไม่ไห้ดิฉันเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะต้องการไห้ใช้เวลาคิดเรื่องลูกไห้มาก ต้องขอบคุณทุกคนไว้ ณ ที่นี้ด้วย ดิฉันจึงสามารถเดินไปใหนมาใหนได้สะดวกเหมือนคนว่างงาน)
ดิฉันเดินไปที่ห้องนักจิตวิทยาประจำที่ทำงานโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า ที่ทำงานมีนักจิตวิทยาประจำ 2 คนแต่ดิฉันคุยกับคนนี้ตลอด ท่านว่างพอดีก็เลยขออนุญาตเข้าไปคุยด้วย ท่านอนุญาตแล้วถามคำถามดิฉันมากมายตามแบบฉบับของนักจิตวิทยา ดิฉันเล่าไห้ฟังทุกอย่าง พอท่านฟังเรื่องคำพูดของผู้บริหารโรงเรียน ท่านพูดทันทีว่า " เปลี่ยนสภาพแวดล้อมไห้ลูกใหม่ซะ ฉันบอกเลยว่าลูกของเธอจะหายเร็วเมื่อเธอเปลี่ยนโรงเรียนไห้เขา แล้วต้องเป็นโรงเรียนที่มีครูที่เรียนจิตวิทยาเด็กมาด้วย แล้วลูกเธอจะหายแน่นอน"
ดิฉันเข้าใจที่ท่านพูด ดิฉันก็จบครูมาเหมือนกันเพียงแต่ชีวิตประจำวันไม่ได้สอนเป็นอาชีพหลัก ดิฉันเรียนจิตวิทยามาสารพัดเพื่อสอนเด็ก ตั้งแต่จิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการสอน หลังจากคุยกับท่านแล้วดิฉันก็บอกท่านว่า ฉันจะไปคุยกับลูกก่อนนะ หากลูกพร้อมดิฉันจะย้ายเขาทันที
พอถึงวันเสาร์ดิฉันพาลูกไปพบจิตแพทย์ตามนัดอีก (แพทย์นัดอาทิตย์ละครั้ง) ดิฉันบอกท่านเรื่องยา (ดิฉันโทรบอกโรงพยาบาลแล้วว่าจะลดยาไห้ลูก) ท่านรับฟังแล้วก็บันทึกลง ดิฉันบอกท่านว่า อยากจะย้ายโรงเรียนให้ลูกแต่ไม่กล้าตัดสินใจ ดิฉันถามลูกแล้วเขาบอกว่า เขาชอบและคิดถึงเพื่อนและครูบางคนที่เขารัก แต่ก็ไม่อยากเรียนโรงเรียนนี้แล้ว ท่านบอกว่าจะคุยกับเด็กไห้
ดิฉันถามท่านถึงเรื่องแม็กนีเซียมเม็ด ท่านบอกว่าก็เป็นการช่วยได้อีกทางหนึ่ง ดิฉันนึกในใจว่าทำไมไม่บอกตั้งแต่ครั้งแรกที่ดิฉันถาม ทำไมท่านถึงได้แต่พูดว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายเองที่หลั่งสารออกมาควบคุมสมาธิได้น้อย ทำไมท่านไม่บอกตั้งแต่ต้นที่ดิฉันถามเรื่องนี้
แล้วท่านก็เรียกลูกชายมาคุย แต่ครั้งนี้คุยกันเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านนั้น
แล้วคืนนั้นคุณแม่ของดิฉันโทรมาจากต่างจังหวัด แล้วบอกว่า เอาหลานมาไห้แม่เลี้ยงเองดีกว่า ย้ายเขามาเรียนที่ต่างจังหวัดเถอะ ดิฉันก็เลยไห้ยายคุยกับหลานเอง เขาคุยกันนานก็วางหูไป แล้วลูกชายก็หันมาบอกดิฉันว่า ตกลงลูกขอไปเรียนต่างจังหวัดและอยู่กับยายนะแม่ แล้วเขาก็วิ่งมากอดและน้ำตาไหล แต่ลูกคิดถึงแม่ อยากอยู่กับแม่ แต่ลูกก็ไม่อยากเรียนในกรุงเทพแล้ว ดิฉันเลยบอกลูกไปว่า ไม่เป็นไร เสาร์-อาทิตย์แม่จะไปหาลูกเอง แล้วถ้าหนูหยุดยาวหนูก็มาอยู่กับแม่ บ้านเราห่างจากรุงเทพแค่ 200 กิโลเมตรเศษ เราไม่ได้อยู่ไกลกันนะลูก เราโทรหากันได้ทุกวัน เขาสบายใจแล้วก็ไปเล่นต่อกับพี่สาวของเขาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ในที่สุดดิฉันก็ได้แม็กนีเซียมเม็ดมาจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทขายตรงที่แพงมากแห่งหนึ่ง ดิฉันอ่านส่วนผสมแล้วถามเขาว่า ทำไมแม็กนีเซียมในนี้มีส่วนประกอบน้อยจัง (ถามแบบคนไม่รู้อีกแล้ว) พี่คนนั้นบังเอิญจบโภชนาการมา เธอตอบว่า ร่างกายมนุษย์ไม่ต้องการแม็กนีเซียมมากนัก และแม็กนีเซียมก็จะทำงานได้ดีเมื่อมีส่วนผสมของ โปรแตสเซียม สังกะสี ฯ ในปริมาณที่เหมาะสม แม็กนีเซียมไม่สามารถสกัดออกมาเป็นเม็ดล้วนๆ เพราะมันจะไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกายถ้าหากไม่มีส่วนผสมอื่นอยู่ด้วยตามความเหมาะสม ดิฉันร้อง อ้อออกมาทันที
แล้วก็มาถึงวันที่จะต้องย้ายลูกไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง.........
ดิฉันคิดอยู่นานมากก่อนตัดสินใจโทรกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อคุยกับคุณแม่อีกครั้งเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่ต่างจังหวัด คิดถึงลูกก็คิด แล้วจะทำยังไง ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก ในที่สุดก็บอกแม่ว่า ไห้พ่อไปคุยกับอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนในหมู่บ้านไห้ด้วย ดิฉันเป็นห่วงว่าเขาจะไม่รับเพราะเป็นช่วงกลางเทอม และลูกไม่ได้สอบเก็บคะแนนเลย เพราะอยู่โรงพยาบาลตลอดสองเดือน กลัวว่าทางโรงเรียนนั้นจะคิดว่าเราจะไปสร้างภาระไห้เขา เพราะคุยกับโรงเรียนที่ กทม แล้วเขาบอกว่าคงลำบาก คงต้องรอไห้ปิดเทอม 1 ไปก่อน ไม่งั้นลำบากทั้งครูและเด็ก
คุณแม่ไห้ดิฉันคุยกับคุณพ่อ ท่านพูดว่าลูกจะกังวลไปทำไม ลืมไปแล้วหรือว่าครอบครัวของเราเป็นคนบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนแห่งนี้ และพ่อเป็นคนพาชาวบ้านสร้างอาคารชั่วคราวไห้โรงเรียนนี้ แล้วถึงได้โอนไห้กระทรวงศึกษาธิการทีหลังนะลูก ดิฉันลืมไม่ได้คิดเรื่องนี้ มานึกได้ทีหลังว่าระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการจะไห้โรงเรียนพิจารณาเด็กที่มาจากครอบครัวที่อุปถัมภ์หรือเคยอุปถัมภ์โรงเรียนมาก่อนเป็นกรณีพิเศษ พ่อพูดต่อว่าแต่ไม่เป็นไร พ่อไปพูดไห้ก่อนก็ได้ เพื่อความสบายใจของลูก
แล้วสายวันรุ่งขึ้นคุณพ่อโทรมาบอกว่า ทางอาจารย์ใหญ่ไห้ย้ายมาได้เลย เรื่องเด็กไม่ได้สอบกลางภาคไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไห้ครูทางนี้จัดการไห้ แต่จริงๆแล้วถ้าหากเด็กเครียดมากไห้เอาเด็กออกมาเรียนที่นี่ก่อนแล้วย้ายตามทีหลังก็ได้ เพราะกว่าเอกสารจะเสร็จมันก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ เอกสารมันเยอะเรื่องการย้ายเด็ก อาจารย์ใหญ่ฝากข้อความมาถึงดิฉัน.......ดิฉันดีใจจนพูดไม่ออก
วางหูแล้วดิฉันก็โทรไปที่โรงเรียนของลูกบอกว่าขอย้ายลูกไปต่างจังหวัด แล้วแจ้งชื่อโรงเรียนและที่อยู่โรงเรียนใหม่ไป แล้วบอกว่าจะไปรับเอกสารวันหลัง คุณครูทางนี้ก็งงว่าทางโน้นรับได้อย่างไรในเมื่ออยู่ระหว่างกลางภาคเรียนและเด็กก็ไม่ได้สอบกลางภาคเลยขณะที่คนอื่นสอบไปหมดแล้ว
ดิฉันตอบไปว่า ไม่เป็นไรหรอก นั่นเป็นปัญหาของดิฉันและโรงเรียนใหม่ ขอไห้คุณครูทำเอกสารย้ายไห้ก็พอแล้วแล้วดิฉันจะไปรับเอกสารตามวันนัด
กว่าจะได้เอกสารดิฉันก็ต้องติดต่อหลายรอบเพราะคนเซ็นต์เอกสารไม่อยู่ ดิฉันต้องรอไปอีก 1 อาทิตย์
ในที่สุดดิฉันไปรับเอกสารวันอังคารของอาทิตย์ถัดไป ตอนนั้น 11 โมงเช้า ดิฉันขอรับลูกกลับบ้านไปด้วย ดิฉันบอกลูกว่า แม่ย้ายไห้หนูไปเรียนที่ต่างจังหวัดแล้วนะลูก วันนี้แม่มารับลูกกลับบ้านเร็วแต่ที่เหลือวันพุธ พฤหัสบดี และวันศุกร์หนูกลับมาเรียนที่นี่ก่อนนะ แล้วไปเริ่มที่ใหม่วันจันทร์หน้าก็แล้วกัน แต่ลูกตอบว่า ลูกขอนะแม่ 3 วันนี้ลูกขออยู่บ้านไม่มาเรียนเลยดีกว่า แล้ววันจันทร์หน้าลูกจะไปเรียนที่โรงเรียนใหม่เลย ดิฉันสงสารลูกเลยยอมตามใจเขาในที่สุด โชคดีที่หลานสาวซึ่งเรียนอยู่มัธยม อยู่ในช่วงหยุดเพราะโรงเรียนมีกิจกรรม ก็เลยมีคนอยู่เป็นเพื่อนเขา
ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกชายจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าการย้ายเขาออกจากที่โรงเรียนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เย็นวันนั้นเมื่อดิฉันมาถึงบ้าน เขายื่นจานข้าวผัดที่มีไข่เจียวโรยหน้ามาไห้แล้วบอกว่า ลูกทำไห้แม่นะ แต่ดูซิ.......ดิฉันเหนื่อยจนลืมเรื่องเล็กน้อยแบบนี้......หยิบจานข้าวแล้ววางบนโต๊ะแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะเฉย.....ลูกหันไปหยิบจานข้าวมาไห้อีกแล้วพูดว่า แม่ไม่ดีใจเหรอที่ลูกทำข้าวผัดไว้ไห้ แม่ไม่ขอบใจลูกเลยเหรอ......ดิฉันนึกได้ทันทีแล้วหันมากอดเขาแล้วบอกว่า แม่ขอโทษลูก แม่ร้อนเลยอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน (จริงๆแล้วเป็นคำแก้ตัวมันไม่ใช่ฤดูร้อนซักหน่อย) ดิฉันขอบคุณลูก กอดเขาแล้วหอมแก้มเขา แล้วเริ่มทานข้าวผัดของเขา เขาหันไปหยิบน้ำหวานที่เขาชงเองแล้วแช่ไว้ในตู้เย็นมาไห้อีก ดิฉันถามว่า....หนูเคยทำข้าวผัดเหรอลูก อร่อยนะ ที่โรงเรียนสอนเหรอ เขาตอบว่า เขาถามพี่สาวของเขาวันนั้นเองว่าทำอย่างไร และใส่เครื่องปรุงอะไรบ้าง แล้วก็ทำไห้แม่ อยากทำไห้แม่ทาน ลูกรักแม่นะ ลูกเห็นแม่ทำงานเหนื่อยก็เลยอยากทำอาหารไห้แม่ทานบ้าง (จริงๆแล้วลูกชายเรียกชื่อเล่นของตนเองแทนคำว่าลูก)
ดิฉันทำงานมาก และต้องรับผิดชอบมากจนลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆไปเลยจริงๆ แล้วดิฉันก็หันมาทบทวนตนเองดูว่าต่อไปนี้ต้องระวังพฤติกรรมตนเองไห้มากกว่านี้ ต้องสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับคนในครอบครัวและคนรอบข้างไห้มากกว่านี้ รู้สึกเสียใจจริงๆที่ปล่อยไห้ลูกต้องทวงคำขอบคุณจากแม่แบบนี้
แล้วก็ถึงวันจันทร์.......วันที่ลูกต้องเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ ดิฉันไปส่งลูกถึงมือครูประจำชั้นและคุยกันถึงเรื่องนี้ คุณครูประจำชั้นคนนั้นพูดว่า คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เราจะดูไห้เอง ในห้องก็มีเด็กแบบนี้คนหนึ่งเหมือนกัน ต้องพบจิตแพทย์ทุกเดือน แต่สาเหตุของการเกิดสมาธิสั้นของเด็กคนนั้นคือเขาช็อคจากการที่ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ เราเข้าใจดี
ดิฉันเคยได้ยินคำว่า ยกภูเขาออกจากแต่ไม่เคยประสบด้วยตัวเอง ดิฉันเพิ่งประสบด้วยตัวเองวันนั้นเอง แค่มีคนเข้าใจสถานะการณ์ของเรา เราก็พอใจแล้ว มันช่วยได้มากแล้ว เรื่องการรักษาเป็นเรื่องของดิฉันกับคุณหมอ แต่แค่ครูที่สอนลูกเข้าใจก็พอแล้ว
ดิฉันก็เลียบเคียงถามคุณครูมากเหมือนกันว่าเขาเข้าใจคำว่าสมาธิสั้นแค่ไหน ดิฉันก็อธิบายไปมากเหมือนกัน มันไม่ใช่แค่ความสามารถในการควบคุมสมาธิได้น้อยอย่างเดียว ความสามารถทางการสื่อสารด้านภาษาก็ลดลงด้วย เช่นครูพูดออกมา หนึ่งร้อย เด็กอาจจะรับได้เพียง 70-80 ดิฉันขอร้องว่าถ้าสั่งการบ้านขอไห้เขียนลงสมุดไห้เด็ก เพราะลูกรับคำสั่งได้ไม่ครบทำไห้จดไม่ทัน ทำงานไม่ทัน และขอร้องเรื่องที่ลูกไม่ได้สอบจากโรงเรียนเก่า และงานเก่ายังไม่ได้ส่ง ขอไห้คุณครูเริ่มไห้เขาใหม่ทั้งหมด คุณครูบอกว่าไม่มีปัญหา และเรื่องการบ้านไม่ต้องเป็นห่วง เราไม่ไห้เด็กเอาการบ้านไปทำที่บ้าน เพราะต่างจังหวัดผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลเรื่องการบ้าน ทุกคนต้องทำงานไห้เสร็จในห้องเรียนและโรงเรียน คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอก
ดิฉันรู้สึกโล่งใจจริงๆ แล้วดิฉันก็ฝากแบบสอบถามไว้กับคุณครู แบบสอบถามจากจิตแพทย์ถูกส่งไปที่โรงเรียนและที่บ้านทุกเดือนเพื่อไห้คุณครูที่สอน 5 วิชาหลักและคนใกล้ชิดในบ้านทำเพื่อที่คุณหมอจะได้ดูการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและพัฒนาการในตัวเด็ก เพื่อช่วยในการรักษา
มาดูกันครั้งหน้านะคะ ว่าพัฒนาการและพฤติกรรมของลูกชายจะออกมาในรูปใดเมื่อดิฉันเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เขา...........
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
รายการสังคมโอเค | ||
![]() |
||
แม่นำ และแม่หมี ออกรายการสังคมโอเค เนื่องในวันแม่ |
||
View All ![]() |
ACSP Cosplay club show by peth idea and the gang | ||
![]() |
||
ACSP Cosplay club show - summer concert 2014 |
||
View All ![]() |
<< | ตุลาคม 2007 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 |