ถ้าคนเรารู้จักตัวองดี คงไม่อยากแปลงค่าตัวเองให้เป็นสิ่งที่ไม่มีค่า
สูตรคณิตศาตร์
ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของการคำนวณ
ถ้าเราจะเอามันมาคิด
ตัวอย่าง ให้หาว่าน้ำ 1 กิโลกรัม มีกี่ลิตร?
การหาค่าน้ำหนัก (mass) เป็น ปริมาตร (volume)
ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสารอะไร
มีความหนาแน่น (density) เท่าใด
ความหนาแน่นที่ว่า ต้องเป็นความหนาแน่นของ น้ำหนัก 1 gm ที่มีในปริมาตร 1 ml
(milligrams)/density = milliliters
ถ้าเป็น "น้ำธรรมดา" ในอุณหภูมิ 25 C มีค่าความหนาแน่น = 1
1 gram (gm.)/ 1 = 1 millilitre (ml.)
ดังนั้น:
น้ำ 1,000 mg. จึงมีปริมาตร 1 ml.
และ เพราะ
1,000 milligram (mg.) = 1 gm.
น้ำ 1,000 gm. จึงมีปริมาตร 1 liter
ลองเอาสูตรคณิตศาตร์มาคิดเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์บางจำพวก
ช่างกลับตาละปัตร เสียจริงๆ
ทำไมคนเราจึงไม่รู้ค่าของตัวเองกันนัก?
เพราะอย่างนั้นหรือ เราจึงเห็นคนที่ชอบทำตัวด้อยค่า ปะปนอยู่ในสังคม เสมอๆ?
เปรียบกับสูตรข้างต้น
ถ้าคิดว่า "น้ำหนัก" คือ ตัวตนของคนแต่ละคน
"ความหนาแน่น" คือ ความนิยมในตัวคนนั้นๆ
"ปริมาตร" คือ การวางตัวในที่สาธารณะ
และด้วยความเชื่อว่า "คนทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง"
เราจะแปลออกมา ว่า
"คนที่มีค่า มีคนนิยม เมื่ออยู่ในที่สาธารณะย่อมไม่วางตนข่มท่าน"
มีคนเคยสอนว่า
"ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน"
"ค่าของคน วัดที่การกระทำ"
เอามารวมกัน
"ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน วัดด้วยการกระทำ"
วัดกันอย่างนี้หรือ?
จะวัดกันด้วยวิธีไหน ถึงจะรู้ค่าของคนแต่ละคน?
แต่ส่วนมากแล้ว จะเห็น คนดีๆ ที่มีคนนิยมมาก มักจะอ่อนน้อมถ่อมตน (ทำปริมาตรตัวเองให้ดูเล็กๆ)
สอดคล้องกับสูตรคณิตศาตร์
(ถ้าความหนาแน่นน้อย ปริมาตรต่อน้ำหนักตัวจะใหญ่ ถ้าความหนาแน่นมาก ปริมาตรต่อน้ำหนักตัวจะเล็ก)
"รู้" ก็ทำเป็นว่า "ยังไม่รู้"
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้แสดงองค์ความรู้ออกมา ฟัง แล้วปัญญาก็เพิ่มพูน
"เห็น" ก็ทำเป็นว่า "ยังไม่เห็น"
เพื่อให้สายตาได้เปิดกว้างในมุมมองที่อาจจะแตกต่างออกไป
"ทำเป็น" ก็ทำเป็นว่า "ยังทำไม่เป็น"
เพื่อจะได้เรียนรู้ในเรื่องเบสิคที่เคยมองข้าม ได้เรียนรู้วิธีการใหม่ๆ และได้ฝึกฝนให้ชำนาญ
"ได้กลิ่น" ก็ทำเป็นว่า "เพิ่งได้กลิ่น"
เพื่อตัวเองจะได้ดมแล้วดมอีก ให้รู้ซึ้งดื่มด่ำในกลิ่นนั้น และให้คนทั่วไปได้มีโอกาสสูดดม
"เคยได้ยิน"ก็ทำเป็นว่า "เพิ่งได้ยิน"
เพื่อจะได้ฟังอีก เป็นการทบทวนและเก็บรายละเอียดที่อาจหลุดรอดไป เพิ่มเติม
ระวังนะเวลานำไปใช้ อย่าตัดคำว่า "ยัง" หรือ "เพิ่ง" ออก
เพราะความหมายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง
และผลที่ได้อาจเป็น อย่างนี้...
"ไม่รู้" ... "บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วทำไมไม่จำ โง่!!!"
"ไม่เห็น" ... "ตาบอดหรืองัยยะ ตำตาออกอย่างนี้ โกหกหน้าด้านๆ!!!"
"ไม่เป็น" ... "ชาตินี้ ทำอะรัยเป็นมั่งฮึ ไปขอทานโน่นเรยไป๊!!!"
"ได้กลิ่น" ... "รู้แล้วยังทำเฉย ไร้น้ำยา!!!" (อันนี้เป็นสำนวนหมายถึงการได้กลิ่นรื่องไม่ดี)
"ได้ยิน" ... "ตะโกนซะขนาดนี้ ยังทำเป็นไม่ได้ยิน เด๋วแม่เหวี่ยงซะด้วยไม้ตีพริก!!!"




อุทาหรณ์สอนใจ (ตัวเอง)
สังเกตดูดีๆ คนที่ชอบพูดว่า "ผมรู้ ดิฉันรู้หมดแล้ว" เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
ถ้ายังนึกไม่ออก ดูคนใกล้ตัว ที่ชอบพูดอย่างนี้ เวลาคุณอ้าปากจะเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง
คุณจะเล่าออกไหม?
สุดท้าย เขาคนนั้นแหละ "ที่ไม่รู้" เรื่องที่เรารู้แต่เขายังไม่รู้
เรื่องที่หนึ่ง "พี่(มะ)ฟ่ะ....อัง"
(เรื่องของคนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเสียจนเคย ไม่รับฟังคนอื่น ต้องการให้สนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น)
เมื่อลูกน้องซึ่งมีพี่สาวทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งบอกว่า "พี่ อุบัติเหตุเมื่อวานนี้ที่..."
"อ๋อ พี่รู้แล้ว ...เพิ่งรู้รึ พี่รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ฟังข่าวพอดี สมน้ำหน้าทั้งคู่!"
"นั่นแหละพี่ คือว่า..."
"ไว้ก่อนๆโว้ย พี่มีเรื่องจะให้น้องไปจัดการ @#$%! บรา บรา บรา"
"พี่ ฟ่ะ...อัง" ท้ายเสียงถูกกลืนไปโดยปริยาย
เมื่อถูกตัดบท
"น้องฟังพี่ก่อน @#%! &%$@# บรา บรา บรา..."
(ใช้คำแทนตัวแบบสุภาพ ที่จริงเขาคุยกันด้วยภาษาสมัยพ่อขุนราม)
สุดท้าย เขาก็ยังไม่ได้รู้ว่า ในอุบัติเหตุนั้นคนที่ตายคืออดีตแฟนตัวเอง ซึ่งข่าวไม่ได้ระบุชื่อ
...และหญิงคนนั้นเป็นเอดส์!!!"
มนุษย์บางพวก รักศักดิ์ศรี ใครจะหยามไม่ได้ จึงมักจะกั้นอาณาเขตตั้งตัวเองเป็นใหญ่
ใครที่ไม่ชอบหน้า แหลมเข้ามาเป็นต้องโดนเล่นงาน
บางทีก็ไปรุกรานคนอื่น ใช้อำนาจบาตรใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้บุคคลอื่นและทำให้สังคมเละเทะ
เรื่องที่สอง "...รู้มั้ย ...ลูกใคร?"
(เรื่องนี้ชื่อคุ้นมาก และอีกเช่นเคย พยายามเลี่ยงการใช้คำไม่สุภาพ)
"อีนี่ มัยมันนิสัยงี้วะ" อาเฮียโพล่งออกมา เศษปลาเค็มกระเด็นตามออกมาเกือบถูกหน้าอาตี๋ ลูกกะเป๋งคนสนิท
"รัยหรอเฮีย" อาตี๋ถามหลังเบี่ยงหน้าหลบแว๊บ รอดไปได้อย่างหวุดหวิด
"ผุยยย ทำเป็นหลบ เด๋วปั๊ด!!!"
"ก็นังนั่น มันชอบเจ๋อเอาขยะมาทิ้งถังหน้าบ้านอั๊ว"
"เฮีย ก็มันถังเทศบาล เฮียก็ชอบคุ้ยหาของตอนดึกม่ะใช่หรอ ถึงยอมให้มันมาตั้ง"
"คนละเรื่องโว้ย ไอ้นี่วอน มันตั้งใจมาหยามกัน"
"ห๊า หยามเฮีย!!" อาตี๋ ร้องเสียงสูง พอดีไปคล้องกับชื่อสัตว์ประเภทหนึ่งเข้า
"((((พลั่ก!!!))))" อาตี๋หล่นลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
"โอยย เฮียอ่ะ ถีบป๋มตามมาย"
"...เจือกอ้อน....เอง" อาเฮียตอบ
"เฮียไม่ชอบ เตือนมันไปหนแล้วมันก็ยังทำ จะเอางัยกับมันดี"
"ถล่มหน้าบ้านมันเลยมะเฮีย ป๋มเอาด้วย"
"งั้น คืนนี้นัดกันเอาครี่ม๋า ไปป้ายหน้าบ้านมัน บอกไอ้พวกนั้นมาช่วยละเลง เอาให้เหม็นไปทั้งซอย ว่ะ ฮ่ะ ฮ่า"
เฮียอ้าปากหัวเราะ เห็นสวนผักขึ้นเต็มฟัน เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
อาเฮียนี้ ที่จริงเป็นลูกหลานชาวจีนมีฐานะ แต่เกกมะเหรกเกเร จนต้องผ่านคุกผ่านตะราง
สุดท้ายโดนตัดออกจากกองมรดกพันล้าน มาตกระกำลำบากหากินกับลูกน้องไปวันๆ
เวลาไปเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ชอบประกาศศักดา
ใครมองหน้าเป็นต้องถาม
"...รู้มั้ย ...ลูกใคร? หา!!!"
วันหนึ่ง มีเสียงตะโกนกลับมาจากหลังเคาน์เตอร์ว่า
"ลูกปืน งัยโว้ย" "ปั้งงง!!"
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
...
เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง
เสียงเพลงก็ดังกระหึ่ม ขึ้นมาอย่างเดิม
จากคืนนั้น ไม่มีใครพบเห็นอาเฮียอีกเลย
ถ้าอาเฮียคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ อนาคตคงไม่มีคำว่า "ดี"
เราจึงพบเห็นกันอยู่เสมอๆ ว่า
มีมนุษย์บางจำพวก ที่มักจะชอบแสดงอำนาจ บาตรใหญ่ ทำตัวว่าเก่ง กว้างขวาง (ปริมาตรเยอะ)
ยิ่งเห็นว่ามีคนนิยมมาก (ความหนาแน่นสูง) ก็ยิ่งชอบแสดงแสนยานุภาพ (ให้คนคิดว่ามีปริมาตรมาก)
ถ้านี่เป็นตัวเรา เรามีค่าแค่ไหน?
บางครั้ง "การรักพวกพ้อง นักการเมือง พรรคการเมือง แบบไม่ลืมหู ลืมตา ก็อาจทำให้เสียเวลาไปกว่าครึ่งชีวิต
ลองทบทวนตัวเอง "ชีวิต มันมีคุณค่ากว่านี้ ..." ไหม?
ขอบคุณ Jigg it เพลงประกอบเรื่องนี้ เปิดเพื่อให้ความบันเทิงและแง่คิด มิใช่ทำเพื่อการค้า
โปรดกรุณาอุดหนุนศิลปินและเจ้าของลิขสิทธิ์
ทบทวนตัวเองอยู่ค่ะ
ขอให้สนุกกับการทำบล็อกต่อไปค่ะ
ที่มาของการเขียนเรื่องนี้ : มาจากคำถามของเพื่อนว่า 1 cc หนักกี่ มิลลิกรัมหรือกี่กรัม งง หาให้หน่อย
ผสมกับสิ่งที่วนๆเวียน อยู่ในหัว ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องในสังคมคนหมู่มาก
แล้วเอามาถ่ายทอดเป็นบันทึกความคิดของตัวเองไว้ทบทวนยามว่าง
และอยากเสริมพลังปัญญาจากข้อคิดของผู้อ่านด้วยค่ะ
ขอบคุณที่มาอ่านและแสดงความเห็นค่ะ
ปิรันย่า
21 มกราคม 2551