วันเวลาเคลื่อนผ่าน กาลเวลาได้นำพาความเปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตของเด็กชายวินัยครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง เมื่อเล่าเรียนจบระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดทุ่งสงวนและโรงเรียนราชบำรุงแล้ว ชีวิตได้หักเหให้ได้พบโลกใหม่ทางการศึกษา ด้วยการเดินทางจากภูมิลำเนาสู่เมืองกรุง เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร ผมใกล้ชิดและสนิทสนมกับพี่ถาวรมาก ชีวิตในวัยเด็กของพี่เป็นเด็กที่ขยัน มุ่งมั่น ต่อสู้กับปัญหาทุกปัญหา เป็นคนรักการเรียน ผลการเรียนดี หลังจากเรียนจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบไต่เต้าจนได้เป็นทนายความ พี่ถาวรก็ได้พาผมไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ วินัยสะท้อนถึงความผูกพันกับพี่ชายซึ่งมีอายุต่างกัน ๑๑ ปี เมื่อได้เข้าเรียนระดับ ม.ศ.๓ ที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส สถานที่นี้เองนอกจากได้สำแดงความสามารถในการเล่าเรียนที่มักจะได้ผลการเรียนอยู่ในระดับต้นๆ เลขตัวเดียวแล้ว ยังได้บ่มเพาะประสบการณ์และฉายแววความเป็นผู้นำให้แก่นายวินัยอย่างเด่นชัด ครั้งแรกที่เจอกันจำได้เลยว่า เขาเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก มีความโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือเพื่อนฝูง เพื่อนๆ มีปัญหาอะไรจะคอยให้ความช่วยเหลือตลอด ทำให้เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนทุกคน เขามีภาวะผู้นำ กล้าแสดงออก กล้าคิดกล้าพูดในที่ชุมชน มองประโยชน์ของสังคมในภาพรวม กระทั่งพอมัธยมปลาย ชั้น ม.ศ.๕ จึงได้รับเลือกให้เป็นประธานสภานักเรียน พ.ต.อ.วินัย วงศ์บุปผา ผู้กำกับฝ่ายอำนวยการ ๗ กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผกก.ฝอ.๗ บก.อก.บชก.) หนึ่งในเพื่อนสมัยเรียนที่วัดราชาธิวาส ด้วยกัน สะท้อนภาพนายวินัยเวลานั้น ว่ากันว่า การที่เด็กบ้านนอกต่างจังหวัดคนหนึ่ง สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประธานนักเรียนที่วัดราชาธิวาส ซึ่งเป็นโรงเรียนในเมืองหลวงได้นั้น แสดงว่าต้องเป็นคนไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ขณะที่ นายวรศักดิ์ เรืองศรี อัยการจังหวัดสงขลา เพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกคนหนึ่งเล่าว่า สมัยนั้นมีเด็กนักเรียนจากภาคใต้ประมาณ ๕-๖ คนที่มาเรียนด้วยกันที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส ส่วนใหญ่ก็คอยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วินัยเองเป็นนักเรียนที่เรียบร้อย ให้ความเคารพครูบาอาจารย์ เวลานั่งเรียนในชั้นก็จะนั่งหน้าห้อง แต่ฉายแววความเป็นนักกิจกรรมตั้งแต่ตอนนั้น เพราะชอบร่วมกิจกรรมต่างๆ ของทางโรงเรียน เล่ากันว่าไม่นานต่อมา เมื่อใกล้จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นที่จดจำของเพื่อนๆ ก่อนแยกย้ายไปหาที่เล่าเรียนต่อระดับปริญญาตรี หลังจากต่างเรียนจบระดับมัธยมศึกษาและเตรียมอุดมศึกษา (ม.ศ.๕) ที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส แล้ว คือ มีการทำหนังสือรุ่นเพื่อเป็นที่ระลึกบันทึกภาพชีวิตร่วมกัน หนึ่งในรูปของนายวินัยในหนังสือรุ่นเล่มนี้เอง ที่ปรากฏตัวหนังสือที่เพื่อนๆ สลักเป็นถ้อยคำที่เปี่ยมความหมายยิ่ง และเป็นจริงในกาลต่อมา ข้อความนั่นก็คือ วันหนึ่งเพื่อนจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเป็นผู้นำทางการเมือง โลกของมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตอีกด้านกำลังจะเริ่มต้น ช่วงเวลานั้นเองที่เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองสำคัญของประเทศไทย นั่นคือการลุกขึ้นมาเดินขบวนของพลังนักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และเหตุการณ์ล้อมปราบ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อวิธีคิดและแนวทางดำเนินชีวิตของนายวินัย !! นายปรีชัย มาละวรรณโณ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของนายวินัยในฐานะคนสงขลาด้วยกัน ย้อนเหตุการณ์ช่วงนั้นว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นมีการล้อมปราบขบวนนักศึกษา นายวินัยจึงตัดสินใจเดินทางกลับจังหวัดสงขลา จำได้ว่าวันนั้นเขากลับมาถึงจังหวัดสงขลาตอนกลางคืน แล้วเดินทางไปกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อจุ้ย เป็นคนระโนดบ้านเดียวกัน ส่วนผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลา มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อนายฉลองพล สุวรรณมุณี ซึ่งก็เป็นเพื่อนกับวินัยด้วย เท่าที่จำได้คืนนั้นผมไปนอนบ้านเช่าของฉลองพลบริเวณสี่แยกสำโรง วินัยก็มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ให้ฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไร จึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตอนนั้นผมเห็นความมุ่งมั่นและใส่ใจต่อสังคมรอบข้างของวินัยอย่างชัดเจนแล้ว นอกจากนี้ ด้วยความเป็นคนอ่อนน้อม สามารถคบหากับเพื่อนได้หลากหลาย ทำให้เมื่อนายปรีชัยเรียนจบจากมหาวชิราวุธ และได้รวมกลุ่มกันในนาม กลุ่มมหาวชิราวุธ ๑๙ โดยมีสมาชิกร่วมร้อยคนซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกัน นายวินัยก็ได้เข้ามาร่วมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย จนถูกเพื่อนๆ ล้อเล่นว่าเป็นรุ่น เก้าอี้เสริม ของมหาวชิราวุธ ๑๙ ทำให้นายวินัยมีความสนิทสนมทั้งส่วนของเพื่อนนักเรียนในกรุงเทพฯ และที่มหาวชิราวุธ จนมีคนเข้าใจผิดว่านายวินัยเรียนจบจากมหาวชิราวุธเช่นกัน เราสนิทสนมกัน จนเป็นเหมือนเพื่อนที่เรียนมหาวชิราวุธมาด้วยกันคนหนึ่ง เพราะว่าเขาจะมาคลุกคลีในงานสังสรรค์ของมหาวชิราวุธเกือบทุกครั้ง และให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือในเวลาจัดงานตลอด วินัยกับเพื่อนๆ มีความผูกพันเพราะนัยเป็นคนมีน้ำใจ เมตตาและจริงใจกับเพื่อน เวลาเพื่อนเดือดร้อนหรือขอความช่วยเหลือ จะเป็นคนที่ช่วยเหลือเต็มร้อยหรือเกินร้อยด้วยซ้ำ โดยที่ไม่คิดหรือหวังผลตอบแทนอะไรทั้งสิ้น การแสดงออกตรงนี้จึงทำให้เพื่อนๆ ประทับใจ ว่าที่ ร.ต.ปริญญ์ เจริญพิทักษ์พร เลขานุการกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ประธานรุ่นมหาวชิราวุธสงขลา ๑๙ กล่าวถึงความผูกพันที่มีต่อกัน บรรยากาศโดยรวมของประเทศไทยในช่วงหลังเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ด้านหนึ่งเป็นไปด้วยความสับสน แต่อีกด้านเต็มไปด้วยความหวังจากพลังของคนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ เรียกร้องความยุติให้แก่มวลมหาประชาชน และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ในรอยต่อของการต่อสู้เรียกร้อง ขณะหนึ่งนี้เองที่วินัยได้นำพาตัวเองจากโรงเรียนวัดราชาธิวาส ก้าวเข้าสู่ทุ่งหัวหมากภายในรั้วรอบของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ หลังจากพลาดหวังจากการสอบเอ็นทรานซ์ และกลายเป็นนักกิจกรรมนักศึกษาที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งในฐานะรองประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (ส.มร.) เลขาธิการพรรคนักศึกษา ๗ คณะซึ่งเป็นพรรคนักศึกษาฝ่ายหัวก้าวหน้า และบทบาทสำคัญในการบริหารองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ช่วงนั้นเป็นสถานการณ์ภายหลังเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ มาแล้ว ซึ่งทำให้กิจกรรมต่างๆ ภายในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ พลอยหยุดไปด้วยประมาณปีหนึ่ง ช่วงนี้จึงเป็นช่วงของการเคลื่อนไหวรอบใหม่ เช่นที่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงลุกขึ้นมาเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัย เรียกร้องให้มีสโมสรนักศึกษา มีลักษณะของการปกครองตนเอง ส่วนฟากการเมืองระดับประเทศ ปี ๒๕๒๑ หลังเกิดการปฏิวัติโดย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ มีการผ่อนคลายให้นักศึกษาทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยได้ และเป็นช่วงข้อต่อสำคัญของยุคนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และยุคป๋าเปรม- พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผมรู้จักวินัยครั้งแรกตอนนั้นประมาณปี ๒๕๒๑-๒๕๒๒ เขาเป็นหนึ่งในทีมงานสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนนั้นเรายังไม่มีสภานักศึกษา ก็อยู่ทีมงานเดียวกันในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญการปกครองนักศึกษา หลังจากนั้นจึงมีองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมด้วยสภานักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง เกิดขึ้นมา นายเจษฎา วิสุทธิศักดิ์ชัย อดีตนายกองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี ๒๕๒๔ กล่าว นายเจษฎาเล่าว่า มุมที่ได้รู้จักกับวินัยในช่วงเวลานั้นเห็นว่า วินัยเป็นคนรักความยุติธรรม และเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวชูโรงการปราศรัย เป็นโฆษกพรรค ๗ คณะ และเป็นรองประธาน เพราะกลุ่มมวลชนที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ ครั้งแรกร่วมกันคือ กลุ่มนักศึกษา ๗ คณะ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งต่อมาในปี ๒๕๒๒ ก็ชนะการเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการสโมสรนักศึกษา เวลานั้นนายเจษฎาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคนักศึกษา ๗ คณะ ส่วนวินัยดำรงตำแหน่งรองประธานนักศึกษาคนที่ ๑ ในปี ๒๕๒๔ โดยบทบาทที่โดดเด่นคือท่วงทำนองลีลาของการพูด มีลูกเล่นจังหวะที่จับใจคนฟัง นำมาซึ่งการทำงานประสานกันทั้งในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการประสานกันในแง่ของเนื้อหาการปราศรัย ทำให้ต่างรู้จักกัน เพราะวินัยเป็นคนมีบทบาทสำคัญในการปราศรัย คือต้องเป็นคนที่เรียกได้ว่ามีระบบการวางแผนในสมองได้ดีกว่าคนอื่น หากไม่เก่งจริงคนขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อตรึงคนเรือนพันเรือนหมื่นไม่ได้แน่ แถมสถานการณ์การต่อสู้ในรามคำแหงยังมีสูงยิ่ง เพราะมีหลายกลุ่มหลายก๊ก หลายซุ้ม หากไม่ใช่นักวางแผนย่อมขึ้นเวทีไม่ได้แน่นอน ดังนั้น ภายในรั้วมหาวิทยาลัย หากพูดถึงการปราศรัยทุกครั้ง ต้องมีคนพูดถึงชื่อ วินัย เสนเนียม ว่ากันว่าถ้าพูดกันในสมัยก่อน วินัยไม่ใช่คนประเภทที่เรียกกันว่า นักคัมภีร์ แต่เป็นคนที่ติดตามสถานการณ์ความเป็นมาเป็นไปของบ้านเมือง เป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวเอง แต่สามารถแลกเปลี่ยนความเห็น มุมมอง ทัศนะ กันได้ จึงไม่แปลกที่ใครๆ จะเห็นภาพวินัยนั่งสนทนาแลกเปลี่ยนสถานการณ์การเมืองอย่างเมามันอยู่เป็นประจำในมุมต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย ผมคิดว่าคนที่เป็นนักกิจกรรมในรามคำแหง จะต้องมีมุมของแต่ละคน แต่พื้นฐานสมัยก่อนก็คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในส่วนที่เด่นกว่าคนอื่นของเขาที่ผมเห็นคือ เขากล้าแสดงออก กล้าขึ้นเวที ซึ่งคนประเภทนี้จะต้องมีบุคลิกที่สามารถทำอะไรสักอย่างต่อเนื่องได้ อาจเป็นด้วยเขามีสองสถานะในตัวคนเดียว ด้วยเป็นคนใต้ที่มีการรวมกลุ่มกันหนาแน่นในนามกลุ่มราม-ทักษิณ ขณะเดียวกันก็ต้องไปสัมผัสสัมพันธ์กับกลุ่มนักศึกษา ๗ คณะ ที่จำเป็นต้องมีการประสานกันระหว่างการเลือกตั้งในรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อทำงานร่วมกัน นั่นยิ่งขับเน้นให้บทบาทของวินัยโดดเด่นขึ้น ประกอบกับมีบุคลิกรักความเป็นธรรม รับฟังและแชร์ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารกันได้ หากถามว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเกือบ ๓๐ ปีเป็นอย่างไร ผมตอบได้เลยว่า ประการแรก เขามีบุคลิกที่น่ารัก เป็นคนประนีประนอม การปราศรัยเป็นไปในลักษณะที่ไม่ดุดัน เป็นเหตุเป็นผล ประการที่สอง เขารักความเป็นธรรม ซึ่งผมว่าสิ่งนี้ดำรงอยู่ในตัวเขาตลอดมา เป็นคนมีบุคลิกแบบนี้ตลอด รักเพื่อนฝูง มีแต่ให้เพื่อน ผมมั่นใจเลยว่าคนใน ๗ คณะ หรือกลุ่มราม-ทักษิณ มีแต่คนรัก ไม่มีใครเกลียดเขาแน่นอน ปี ๒๕๒๔ วินัย เสนเนียม เล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี กลายเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตหนุ่มที่มีอนาคตยาวไกล ด้วยจุดเด่นในบุคลิกและความมุ่งมั่นของคนหนุ่มที่พร้อมเผชิญโชคในทุกเวทีโดยไม่เคยแสดงความระย่อหรืออ่อนแอในพลังชีวิต แถมยังคอยเปิดโอกาสให้เพื่อนๆ คนรู้จักได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม เช่นที่ได้ชักชวนนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้เข้าร่วมทำกิจกรรมนักศึกษาด้วยกัน โดยส่วนตัวกับนายวินัยได้รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาเป็นโฆษกพรรคนักศึกษา ๗ คณะ และเป็นคนแนะนำให้ทำกิจกรรมนักศึกษา ต่อมาผมได้เป็นโฆษกพรรคนักศึกษาต่อจากนายวินัย และชีวิตทางการเมืองก็ผูกพันกันมาตลอด ตั้งแต่เป็นสมาชิกสภานักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ส.มร.) และเมื่อจบจากมหาวิทยาลัยแล้วก็มาสู่เวทีการเมืองระดับชาติ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน เป็นยุวประชาธิปัตย์ จนเป็น ส.ส. เหมือนกัน นายเทพไทกล่าวถึงเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ช่วงเวลานี้น้อยคนที่จะทราบว่า ครั้งหนึ่งนายวินัย เสนเนียม ได้ไปทำงานอยู่ที่สำนักงานทนายความของนายชวน หลีกภัย ชื่อ ช. ชนะสงคราม ในย่านบางลำพู และที่นี่น่าจะเป็นสถานที่หนึ่งที่ ทำให้นายชวนได้เห็นแววความเป็นนักการเมืองคุณภาพน้ำดีของนายวินัย |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
แสงและเงาที่พรุโต๊ะแดง นราธิวาส | ||
![]() |
||
เพริศไปตามจินตนาการแห่งแสงสีของป่าพรุ |
||
View All ![]() |
เหมือนสายลม | ||
![]() |
||
บทเพลงประกอบหนังสือจิตวิญญาณระหว่างขุนเขา บูโด-สันกาลาคีรี โดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ |
||
View All ![]() |
<< | พฤศจิกายน 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |