๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๒ วันอันสุดแสนโหดร้ายสำหรับ ‘ลูกชายของแม่’ บนเส้นทางสายมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี รถคันหนึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด บรรยากาศรอบข้างแสนเปล่าเปลี่ยว เพื่อมุ่งหน้าสู่อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี สายฝนยังคงเทกระหน่ำสาดซัดตั้งแต่ห้าทุ่มมาแล้ว ชายที่กำลังขับขี่รถทอดสายตายาวไกล ข้างกายคือภรรยาและหลานชาย ส่วนเบาะหลังคือน้องสาวคนเล็กที่จากบ้านมาเนิ่นนาน และตั้งใจกลับไปกราบแทบเท้าแม่ “ง่วงเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมคิดถึงแม่เสียจนไม่ยอมจอดพักเหมือนเคย อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าที่คงแปลกใจและตื่นเต้นของแม่ เมื่อเห็นผมพาลูกสะใภ้กับหลานชายไปเยี่ยมย่า และพาน้องสาวคนเล็กที่จากมาเรียนเสียนานกลับไปกราบแม่ เช้านี้ผมจะไปตลาดซื้อปูและหอยแครงไปทำกับข้าวให้แม่กินเหมือนเคย ช่วงสายๆ กะว่าจะชวนไปเยี่ยมป้าที่เขาสมิง แล้วเลยไปเที่ยวชายทะเลแถวๆ แหลมงอบด้วยกัน” รัฐภูมิ อยู่พร้อม บันทึกวันเวลาผ่านความทรงจำที่ต่อมากลับกลายเป็นห้วงที่เจ็บปวดมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ตี ๔ ของวันเดินทางยาวนาน ขณะที่ค่อยๆ จอดรถให้แนบสนิทเมื่อถึงเป้าหมายคือบ้านของน้องสาวคนโตซึ่งอยู่ติดกับบ้านของผู้เป็นมารดา เวลานั้นไฟหน้าบ้านกลางสวนสว่างโร่ขับความมืด เขาคิดว่าแม่คงตื่นนอนนานแล้ว และน่าจะกำลังเตรียมขนมไปขายที่ตลาดตามประสาคนขยัน รถไม่ทันจอดสนิทดี น้องสาวคนเล็กก็วิ่งฝ่าความมืดไปบ้านแม่ด้วยแรงคิดถึง แต่... ฉับพลันทันใดนั้น ท่ามกลางความมืดมิดของบรรยากาศรอบด้าน เสียงหวีดร้องของน้องสาวคนเล็กชำแรกความเงียบงำแห่งค่ำคืน ทำเอาทุกคนสะดุ้งตกใจ เขากระโจนไปตามต้นเสียง รีบคว้าน้องสาวที่วิ่งร้องออกมาแบบไม่คิดชีวิต ขณะเดียวกันเหลือบสายตาเข้าไปดูพื้นที่ภายในบ้าน ทันใดนั้นจึงได้เห็นว่ากลางแสงไฟที่เปิดทิ้งไว้ ร่างของผู้เป็นมารดานอนหงายจมกองเลือด เขารีบวิ่งเข้าไปประคองร่าง จับมือหาชีพจร มือแม่เย็นเฉียบแล่นขึ้นสะท้านใจ “ผมงงไปหมดทำอะไรไม่ถูก กอดเขย่าเรียกแม่ หวังได้ยินเสียงแม่ตอบเหมือนทุกครั้งที่ผมเคยเรียก...แม่ผมเสียชีวิตนานแล้ว นานพอที่มดเริ่มไต่มาหา แม่ผมตายแล้ว ผมหันไปกอดน้องที่นั่งร้องไห้ นึกขึ้นได้ว่ายังมีหลานสาวอีกคน รีบวิ่งไปเปิดไฟห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอนเล็ก ไล่ไปเรื่อยจนเหลือห้องแม่ห้องเดียว แง้มประตูผ่านเท้าแม่เข้าไป พบร่างหลานสาวนอนหงายพิงเตียงอยู่อีกคน ผมปล่อยโฮมือตีนอ่อนนั่งหมดแรงอยู่ข้างตัวแม่ โดยไม่ได้ไปจับดูหลานสาวอีก เพราะเลือดนองไปทั่วพื้นห้อง” หลังงานศพผ่านพ้น เขาพาครอบครัวกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ แต่ยังคงวนเวียนเดินทางไปจุดธูปกราบแม่ที่วัดดงกลาง อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ทุกสัปดาห์ พร้อมกับคำถามที่ไม่เคยมีคำตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเหมือนขาดสะบั้นและหลุดหายไปอย่างไม่มีวันกลับคืนมาได้อีก “ผมเดินไปเดินมาที่ชายทะเลอย่างไร้จุดหมาย ยิ่งนานวันยิ่งจมดิ่งไปในห้วงลึกแห่งความทุกข์ บางทีนึกโทษตัวเองที่เป็นลูกชายประสาอะไร ทำไมคุ้มครองดูแลแม่และหลานสาวไม่ได้ ความก้าวหน้าของชีวิตที่ทุ่มเทมาสิบกว่าปีต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน ความสุขที่เคยฝันเอาไว้จบลง เราทั้ง ๖ คนพี่น้องต้องเคว้งคว้าง ใจหาย และไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับความสูญเสียที่ไม่คาดฝัน ทุกคืนทุกวันเคยมีแม่เป็นมงคลสูงสุดอยู่ที่บ้าน แล้วทีนี้เราจะกลับไปหาใคร” ต่อมา สิ่งที่สร้างบาดแผลร้าวลึกในใจให้มากยิ่งขึ้นหลายเดือนต่อมา ณ สถานีตำรวจภูธรอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เมื่อเขาได้เผชิญหน้า ๒ คนร้ายที่ตำรวจจับได้ว่าเป็นผู้เข้าไปฆาตกรรมแม่และหลานสาว “ผมอยากรู้ว่าคนประเภทไหนกันที่ทำร้ายหญิงชราและเด็กสาวที่ไม่มีทางสู้ได้ลงคอ ผู้การภาคฯ เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าคนร้ายตั้งใจทำร้ายน้องสาวคนที่สองด้วยเรื่องหนี้สินเงินทอง อยากถามเขาว่าแล้วทำไมต้องฆ่าแม่ของผม เย็นนั้นผมแทบไม่มีแรงขับรถกลับกรุงเทพฯ จนต้องแวะพักไปตามทางเป็นระยะๆ คนจ้างวานเป็นนักเลงรุ่นน้องต่างหมู่บ้าน แต่มือปืนที่รับจ้างมาลั่นไกเป็นเพื่อนผมเอง เพื่อนที่เคยปั่นจักรยานยนต์ไปโรงเรียนในตัวอำเภอด้วยกันเกือบทุกวัน เขายกมือไหว้ขอโทษบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นแม่เพื่อน เพราะเราย้ายบ้านหนีถนนไปอยู่ในสวน และขอร้องพวกเราว่าอย่าไปทำอะไรลูกเมียและแม่ของเขาเลย เขาขอโทษ ผมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก เจ็บปวดจนมีชีวิตไปทีละนาที พ่อแม่พร่ำสอนให้เราเป็นคนดีไม่ทำร้ายใคร แต่ทำไมพวกเขาทำได้ หากผมจะแก้แค้นให้แม่และหลานสาว คงไม่มีใครว่า” แต่แน่นอน, เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อทำเช่นนั้น...
รอยต่อระหว่างชีวิตเก่า-ชีวิตใหม่ ‘รัฐภูมิ อยู่พร้อม’ เป็นลูกชายคนที่ ๒ ในลูก ๖ คนของ ‘ผู้ใหญ่มิ่ง และแม่เชื้อน อยู่พร้อม’ เป็นเด็กสองจังหวัดที่เจ้าตัวยอมรับว่า “เกเรเงียบๆ และไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง” เขาเล่าว่าญาติแม่ทางจังหวัดตราดบอกว่า เขาเป็นเด็กไม่ดี ส่วนญาติพ่อทางจันทบุรีก็ว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน กว่าจะจบมัธยมปลายได้ต้องย้ายไปหลายโรงเรียน เลยพลอยทำให้มีเพื่อนฝูงมากมาย ทั้งคงแก่เรียนและพวกที่ถูกจัดอยู่ในประเภท ‘เหลือขอ’ ตั้งแต่วัยเด็ก เขาเป็นคนชอบผจญภัย บางทีหนีแม่ด้วยการขี่จักรยานยนต์เที่ยวข้ามจังหวัดจนแม่ระอา กระทั่งมาเลิกบ่นเอาเมื่อเขาเข้าแข่งขันจักรยานยนต์ประจำจังหวัดได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ ช่วงอายุ ๑๓-๑๔ ปี เขานำเรือลำเล็กๆ ออกจากอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ล่องข้ามร่องน้ำที่เรือล่มบ่อยๆ เพื่อไปหาเพื่อนที่หน้าเกาะช้าง จังหวัดตราด หลายคนห้าม แต่วันหนึ่งเขาก็กลับมาหาแม่ พร้อมของฝากเต็มลำเรือจนได้ “บ่อยครั้งที่ผมนั่งสัปปะหงกกลางวงสุราและกัญชา คอยพ่อที่เป็นผู้ใหญ่บ้านออกไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กับลูกบ้านเกือบทุกคืน ผมจะตื่นเต้นตาสว่างด้วยเรื่องราวของพ่อและเพื่อนๆ สมัยเป็นทหารเรือ ชีวิตกลางทะเลสีคราม ปูปลากุ้งหอยที่กินไม่รู้จักหมด อภินิหารบารมีของเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร หากพ่ออารมณ์ดีและไม่เมาจนเกินไป ผมจะได้ยินเสียงนุ่มๆ ของพ่อร้องเพลงทหารเรือให้ฟัง และหนึ่งในนั้นคือเพลงของราชนาวีที่มีเนื้อร้องว่า ๑๕๐๐ ไมล์ ผมอยากรู้ว่าไกลเท่าไร พ่อบอกว่าไกลมากจนไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน” อาจด้วยความประทับใจ ‘เรื่องเล่าของพ่อ’ หรือด้วยอุปนิสัยส่วนตัวที่ชมชอบการผจญภัย วันหนึ่งขณะอยู่ในอาการเมาอย่างหนัก เขาตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารเกณฑ์ทั้งที่เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนหนึ่งไม่อยากเป็น นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อยิ้มแก้มปริ เมื่อวันหนึ่งได้พบลูกชายกลับบ้านมาในสภาพผมเกรียนหัวโล่ง แถมสวมเครื่องแบบแสนเท่ห์ของร้อยลาดตระเวน กรมนาวิกโยธิน ที่ว่ากันว่ากว่าจะเป็นได้นั้นต้องผ่านบททดสอบแสนเข็ญ “กระทั่งปี ๒๕๒๙ สิ้นบุญพ่อ ผมบวชหน้าไฟ นั่งมองร่างพ่อหายไปในเปลวไฟ พร้อมกับสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่พ่อเคยขอร้องไว้ ผมจากบ้านมาพร้อมเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวมุ่งตรงเข้ากรุงเทพฯ รับจ้างทำสารพัดงาน ทั้งขับรถบรรทุก คนงานก่อสร้าง ค้าขายเล็กน้อย ยอมรับจ้างทุกชนิดเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้เลี้ยงชีพ จนวันหนึ่งผมสะสมเงินเปิดโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์กับเพื่อนจนได้ แต่ไม่นานปรากฏว่าหุ้นส่วนแยกทาง ผมขาดทุนยับเยิน ตัดสินใจเข้าทำงานในฐานะกองบรรณาธิการนิตยสารแห่งหนึ่ง จนกลายเป็นช่างภาพและเริ่มถ่ายวีดีโอ” ด้วยอาศัยเทคนิค ‘ครูพักลักจำ’ ในที่สุดทำให้เขาสามารถเข้าทีมผลิตงานสารคดี ไม่นานก็ได้เป็นพิธีกรจำเป็น ต่อยอดเรื่อยมาจนทำงานโปรโมชั่นให้กับห้างดังหลายแห่ง และจากที่เคยเป็นชายหนุ่มที่แสนเจ้าชู้คบหาหญิงสาวมากมาย ในที่สุดเลิกนิสัยนี้เด็ดขาดเมื่อได้ตกลงปลงใจแต่งงานกับลูกสาวผู้การ ทำให้ชีวิตเริ่มนิ่ง มีโอกาสเมื่อใดมักจะกลับไปเยี่ยมหาแม่ด้วยกัน และพาแม่ไปท่องเที่ยวอย่างมีความสุข “ผมทำอย่างที่พ่อเคยสอนและอดทนสู้ทุกอย่างแบบที่แม่ทำให้ดู แม่เอาเรื่องราวที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือของผมไปคุยฟุ้งอย่างภาคภูมิใจ ผมจะกลับบ้านไปหาแม่เสมอถ้าว่างจากงาน ไปนั่งดูแม่นั่งขายของที่ตลาด ช่วยแม่หยิบถุงใส่ขนมส่งให้ลูกค้า แล้วผมก็รู้อยู่ในใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวผมล้วนมาจากแม่ทั้งสิ้น ชีวิตมีขึ้นแล้วมีลง ในความทุกข์มีความสำเร็จ และช่วงแห่งความสุขต้องระวังความทุกข์เอาไว้ สิ่งที่พ่อสอนผมเป็นความจริง” แต่ความจริงนั้นบางทีสุดแสนโหดร้ายเกินไปนัก ทำให้ลูกผู้ชายที่คิดว่าหัวใจแกร่ง กลับปล่อยให้น้ำตารินไหลดั่งสายเลือด จนเปียกโชกไปทั่วอกและชำแรกลึกไปถึงก้นบึ้งหัวใจ แม้นในขณะห่มจีวรครองสมณเพศ นั่นคือห้วงยามวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นขณะเขากับน้องชายช่วยกันพลิกร่างเล็กๆ ของแม่บนเชิงตะกอนแบบเมรุลอย ตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงเกือบเที่ยงคืนจนเนื้อก้อนเล็กๆ ของแม่มอดหายไปกลายเป็นอณู ตราบรุ่งเช้าจึงนำเถ้าอังคารของแม่ หลานสาว และของพ่อที่ห่อรวมกัน โปรยลงน้ำทะเลสีครามตรงข้ามกับเกาะช้างน้อย จังหวัดตราด บริเวณที่แม่เคยบอกว่า “ชอบมากที่สุด” คนที่เขาบอกว่า “รักที่สุดในโลก” ได้กลับคืนสู่ท้องทะเลตามความต้องการที่เคยสั่งเสียเอาไว้ และเป็นหนึ่งในสัญญาใจ ๔ ข้อที่แม่เคยขอให้ช่วยทำ นอกเหนืออีก ๓ เรื่อง คือ ฝากประคองน้องคนเล็กเรียนให้จบปริญญาตรี สร้างโบสถ์ทำบุญ และพาแม่ไปเที่ยวทะเลแถวปักษ์ใต้สักหน “ผมยังวนเวียนไปหัวเขาริมทะเล เพื่อมองหาแม่ตรงจุดลอยอังคารทุกครั้งที่กลับบ้าน ถึงจะรู้ว่าแม่จากไปแล้วแต่ก็ไม่รู้จะไปไหนดี ทะเลตรงนั้นอบอุ่นที่สุดสำหรับผม” ห้วงยามแห่งความทนทุกข์ ณ เวลานั้น บนหัวเตียงของ รัฐภูมิ อยู่พร้อม มีหนังสือทะเลไทยอยู่เล่มหนึ่งซึ่งเขามักเปิดดูแผนที่จังหวัดตราดก่อนนอนแทบทุกวัน ภาวนาให้ได้พบแม่ในฝันทุกค่ำคืน จำได้ว่าแม้วัยเด็กจะเกเรไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่อย่างหนึ่งที่ปฏิบัติมาตลอดช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวจนมาเป็นครอบครัวสมบูรณ์ คือ การไม่เคยผิดสัญญากับแม่สักครั้งเดียว นั่นทำให้กลายเป็นสิ่งที่ยังคาใจและเสียดายเหลือเกินว่า ไม่น่าผัดวันประกันพรุ่งเรื่องที่จะพาแม่ท่องเที่ยวไปในพื้นที่ภาคใต้เลาะเลียบไปตามชายฝั่งทะเล ๒ คาบสมุทร “เวลาแม่ว่างผมติดธุระ พอผมว่างแม่กลับติดงาน แม่บอกว่าอยากเห็นทะเลใต้ว่าสวยงามอย่างในทีวีจริงหรือเปล่า อยากไปซื้อผ้าถุงลายแปลกๆ มาฝากญาติและเพื่อนๆ ไว้ใส่อวดกันตอนงานบุญ และอยากไปให้ครบทุกภาคของประเทศ ผมบอกแม่ไว้ว่าต้นปี ๒๕๔๓ แม่ต้องทำตัวให้ว่างสักเจ็ดแปดวัน แล้วเราจะล่องใต้ไปเที่ยวกัน แต่แล้วแม่ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน บางคืนผมยังฝันว่าได้พาแม่ไปเที่ยวทะเลใต้อย่างมีความสุข ตั้งแต่นั้นมาผมสนใจแต่ทะเล ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ รายการทีวี เรื่องที่คุยกัน จินตนาการของผมเกี่ยวข้องกับท้องทะเลทั้งสิ้น ความฝันที่เป็นสัญญาคาใจเริ่มชัดเจนและเด่นชัดขึ้นทุกวัน ผมเก็บเรื่องสำคัญนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด” และแล้วในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง วันหนึ่งน้องสาวคนสุดท้องวิ่งมาบอกข่าวดีเรื่องสอบผ่านวิชาสุดท้าย และจบการศึกษาแน่นอนแล้ว เมื่อได้ทราบข่าวดีทำให้เขานอนไม่หลับแทบทั้งคืนเพราะชื่นใจกับความสำเร็จของน้อง ตอนนี้จึงเหลือเพียง 2 เรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ แต่นับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน กลางดึกคืนหนึ่งเขาปลุกภรรยามาขอความเห็นว่า หากใครสักคนจะพายเรือลำเล็กๆ ไปรอบประเทศ ตั้งแต่ชายแดนพม่าไปจรดชายแดนเขมรหรือกัมพูชา เธอคิดว่าเป็นอย่างไร จะมีใครสักคนที่ทำแบบนี้ได้ไหม ปรากฏว่าคืนนั้นทั้งคืนเขานอนลืมตาโพลงอย่างหลับไม่ลง เมื่อนึกถึงคำพูดของภรรยาที่ว่า “ใครที่คิดอย่างนั้น...เป็นบ้าไปแล้ว” สัปดาห์ต่อมาเขาปลุกเธอกลางดึกอีกครั้งหนึ่ง แล้วเล่าความจริงให้ฟังว่า... “คนที่คิดจะทำอย่างนั้น คือตัวผมเอง”
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
แสงและเงาที่พรุโต๊ะแดง นราธิวาส | ||
![]() |
||
เพริศไปตามจินตนาการแห่งแสงสีของป่าพรุ |
||
View All ![]() |
เหมือนสายลม | ||
![]() |
||
บทเพลงประกอบหนังสือจิตวิญญาณระหว่างขุนเขา บูโด-สันกาลาคีรี โดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ |
||
View All ![]() |
<< | เมษายน 2013 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 |