มีครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็ก ผมได้มีโอกาสไปขูดซากเรือโบราณเพื่อขอหวย ซากเรือไม้โบราณ (มีคนบอกผมอย่างนั้น แต่ผมดูอย่างไงก็ไม่ต่างไปจากท่อนซุงใหญ่ท่อนหนี่ง) ที่จมอยู่ใต้น้ำมายาวนานถูกขุดลากมาจอดอยู่บนฝั่งคลอง ผู้คนไม่น้อยต่างยึดครองพื้นผิวของซากเรือเพื่อทำการขูดหาโชคของเขา ตอนนั้นผมไม่ค่อยประสาเท่าไรนัก ไม่เข้าใจว่าตัวเองถูกพามาเพื่ออะไรและที่กำลังทำอยู่นั้นทำไปทำไม ด้วยความอ่อนในอุตสาหะ ผมก็เลิกขูดหลังจากพบว่านิ้วหัวแม่มือเริ่มจะแสบร้อนพองโดยไม่ได้เลขเด็ดแต่อย่างไร นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินข่าวการขอหวยจากสิ่งประหลาดรอบๆ ตัวเรา หลังจากนั้นข่าวทำนองนี้ก็มีมาให้ผมได้ยินอยู่เนืองๆ ที่ดูว่าจะเป็นตลกร้ายที่สุดก็เห็นจะเป็นข่าววัตถุประหลาดที่ชาวบ้านพากันแตกตื่นว่าเป็นของที่ตกมาจากนอกโลก และสุดท้ายก็พบว่าเป็นเจลลดไข้ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์นั้นทำให้ผมนึกถึงหนังฝรั่งเรื่อง "เทวดาท่าจะบ๊อง (The Gods Must Be Crazy (1980))" ที่ฉายในบ้านเราเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตัวหนังพูดถึงชายชาวเผ่าในอาฟริกาที่ห่างไกลจากสังคมเมืองที่ต้องเป็นตัวแทนของเผ่าในการนำสิ่งแปลกประหลาดที่ตกลงมาจากท้องฟ้าไปที้งให้ออกนอกพื้นที่ของตน สิ่งแปลกประหลาดที่ว่านั้นก็คือ "ขวดแก้วน้ำอัดลมเปล่าขวดหนึ่ง" ใครจะไปเชื่อว่าเหตุการณ์ในสังคมของเราจะไปพ้องกับหนังตลกที่มีเนื้อหาเสียดสีวัตถุนิยมเรื่องหนึ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ และที่แย่ที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ในขณะที่ในหนังคนเผ่า (ผมไม่อยากใช้คำว่า"คนป่า" เนื่องจากคำนี้มีความหมายในเชิงดูถูก) นี้เลือกที่จะแก้ปัญหาโดยใช้สติและความรู้โดยการ "กำจัด" สิ่งแปลกปลอมออกจากอาณาเขตของตน แต่พวกเรากลับเลือกที่จะหาประโยชน์จากสิ่งแปลกปลอมโดยไม่ใช้สติ หลังจากที่ความจริงเปิดเผยผู้ที่พยายามจะสร้างข่าวหรือหาผลประโยชน์กับ"ความไม่รู้"นี้ก็พากันเงียบเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รัฐก็ไม่แสดงปฏิกริยาใดๆ ราวกับว่า"ความไม่รู้"ของผู้คนในสังคมนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ผมอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะมีรายการทีวีที่ญี่ปุ่นเอาเรื่องนี้ไปออกอากาศ คนดูที่นั้นก็คงขำกันน่าดู ผมรู้สึกขายหน้าจัง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ในบ้านเราที่จะมีการกราบไหว้สิ่งแปลกประหลาดใดๆ ก็ตามเพียงเพื่อขอโชคลาภเลขเด็ด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น จอมปลวก ชากสัยว์ที่เพิ่งเกิดและตายเนื่องจากสภาพร่างกายที่ผิดปรกติ ต้นไม้ที่ดันมีอาการผิดปรกติอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม นอกจากชาวบ้านที่แตกตื่นและฝากความหวังของอนาคตไปกับความผิดปรกติเหล่านี้ อีกกลุ่มหนี่งที่ยังคงศรัทธากับความขลังของสิ่งแปลกประหลาดหรือความผิดปรกตินี้ ก็คือสื่อมวลชนบางพวก สื่อมวลชนกลุ่มนี้ฝากอนาคตของยอดขายหรือยอดคนดูคนฟัง โดยคาดหวังว่าการนำเสนอเรื่องเหล่านี้จะทำให้พวกเขาสมหวังในด้านรายได้ จะว่าไป ไม่แน่ว่ารัฐอาจจะแอบฝากอนาคตหรือความหวังกับสิ่งเหล่านี้ด้วยก็ได้ นับแต่ยุคสมัยน้าชาติที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมโหฬาร ผมก็สังเกตว่ามีคนไม่น้อยไห้ความสำคัญกับความร่ำรวยและวัตถุมากขึ้น สมัยนั้นเงินทองดูจะหามาได้อย่างง่ายดาย หามาง่ายก็ใช้ไปง่าย เมื่อมีแล้วก็อยากมีมากขึ้นอีก ความอยากไมมีที่สิ้นสุด ผมคิดว่าน่าจะเป็นตอนนี้เองที่ผู้คนเริ่มจะยอมรับกันว่าการมีทรัพย์เป็นความชอบธรรมโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องคำนืงว่าทรัพย์นั้นหามาด้วยวิธีใด ผู้คนหลงระเริงไปกับกระแสเงินที่ใหลเวียนไปทั่วสังคม คนที่มีโอกาสหรือมีความสามารถมากก็ตักตวงความมั่งคั่งไปได้มาก มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมากมายจากการขายที่ดิน เล่นหุ้น งานก่อสร้าง ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ มองไปทางใหนก็มีแต่อนาคตที่สดใส คนทำงานบริษัทที่มีฝีมือเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น สถาบันการศึกษาต่างเร่งกันผลิตบัณฑิตเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เด็กจบใหม่ได้งานอย่างรวดเร็วด้วยเงินเดือนเรือนหมื่น บวกกับค่าล่วงเวลาที่อาจจะมากกว่าเงินเดือนด้วยซ้ำไป ผมรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าลูกน้องบางคนเลือกที่จะซื้อรถยนต์เพียงเพื่อขับไป-กลับที่ทำงาน ก่อนที่จะซื้อบ้าน ด้วยเหตุผลของความสะดวกและความปลอดภัย แปลกใจที่พบว่าวินัยทางการเงินเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจและควบคุมสำหรับคนหลายคน เช้าวันที่ 2 กค. 2540 ผมยังจินตนาการไม่ออกถึงผมกระทบหลังจากที่ประเทศไทยประกาศลอยค่าเงินบาท แต่หลังจากนั้นไม่นานผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผมและคนอื่นก็มากจนเกินจะจินตนาการเช่นกัน โดยส่วนตัวแล้วกระทบที่ผมได้รับนั้นอยู่ในวิสัยที่จัดการได้ไม่ยากเย็นนัก เนื่องจากผมถูกสอนมาให้หลีกเลี่ยงจากการมีหนี้สิน แต่บรรยากาศที่พบเห็นได้อยู่ทุกวันจากที่ทำงานและสิ่งรอบๆ ตัวทำให้ผมทำให้ผมตระหนักว่า"เงิน" เป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นที่นี่เมืองไทย หรือมุมใหนในโลกนี้ วิกฤติที่เกิดขึ้นครั้งนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้จ่ายเงินซื้อความพอใจของคนในชาติอย่างไม่ลืมหูลืมตาโดยหารู้ไม่ว่ามูลค่าเงินที่เราคิดว่ามันมีอยู่จริงนั้นเป็นสิ่งสมมุติ มันเป็นสิ่งที่เราไปหยิบยืมมาจากคนอื่น แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งก็มีคนมาบอกเราว่า "เราไม่ให้เงินพวกคุณใช้อีกแล้วเพราะคุณเป็นหนี้เรามากจนพวกเราเหล่าเจ้าหนี้ไม่แน่ใจว่าคุณจะมีปัญญาใช้หนี้เราหมดหรือเปล่า" ตอนนั้นเองที่เราได้พบว่า "บาท" ที่เราคิดว่ามีค่าเท่ากับ "บาท" นั้น ความจริงมีค่า "ไม่เต็มบาท" 10 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างกับโกหก พวกเราต่างได้ประสบการณ์ต่างๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลงดูเหมือนจะเกิดขึ้นหลายๆ ด้านพร้อมๆ กันอย่างรวดเร็ว ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี ผมรู้สึกว่าสังคมไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยคลายความเคร่วครัดลงในหลายๆ เรื่อง ที่เห็นได้ชัดก็เช่น ความสัมพันธ์ของวัยรุ่นสมัยนี้ การยอมรับความต่างจากเชื้อชาติไทย เป็นต้น โดยส่วนตัวผมชอบความคลี่คลายที่ยกตัวอย่างขึ้นมา แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมไม่ชอบเลย เราลดความเคร่งครัดในการปฏิเสธความไม่ถูกต้อง...ลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ยาเสพติดระบาดอย่างหนักในช่วงเวลาไม่กีปี วัยรุ่นจำนวนมากยินดีให้บริการทางเพศเพื่อแลกกับทรัพย์สิน ไม่มีใครชอบทำงานหนัก อยากได้ทางลัด พ่อแม่ตั้งหน้าตั้งตาหาทางฝากลูกเข้าโรงเรียนดีๆ แทนที่จะเคี่ยวเข็ญให้ลูกขยันเรียนแถมยังภูมิใจเที่ยวบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าตัวเองมีเส้นสายใหญ่โต เรามักจะได้พบเห็นผู้คนคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ผู้คนไม่น้อยต่างชื่นชม ขณะเดียวกันเราก็ตีค่าความเป็นคนธรรมดาสามัญให้ต่ำต้อยแถมยังดูถูกคนที่ทำถูกต้อง ขยัน ทำงานอย่างหนัก ว่า "โง่" อีกด้วย ปัจจุบันเราขาดแคลนช่างฝีมือที่ลึกซึ้งในศิลปะของตนเอง ช่างเก่ากำลังสูญหายไปแต่ช่างใหม่ไม่มีมาทดแทน เนื่องจากว่าการฝึกให้เป็นช่างที่เชี่ยวชาญทั้งศิลป์และศาสตร์ในแต่ละแขนงนั้นไม่มีทางลัด ทางเดียวที่ต้องเดินไปคือการฝึกซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและความตั้งใจ "มืออาชีพ" ดูจะมีน้อยมากในทุกสายงาน หลายคนทำสิ่งที่ตัวเองทำอยู่อย่างฉาบฉวย เพราะมัวคอยหาจังหวะที่จะก้าวกระโดดไปทำอย่างอื่นที่คิดว่าให้ผลตอบแทนดีกว่า แล้วเราจะหา "จรรยาบรรณ" กับคนเหล่านี้ได้อย่างนี้ได้อย่างไร อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้น ก่อนที่คำว่า "พอเพียง" จะพูดถึงกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน เราดูจะมีความเชื่อมั่นอย่างสูงในระบบทุนนิยม รัฐบาลชุดที่แล้วมีนโยบายหลายอย่างที่สนับสนุนทุนให้กับพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรากหญ้า เงินจำนวนมากถูกหว่านลงไปให้กับประชาชนทั่วไป หลายคนได้เงินมาอย่างไม่ยากเย็นนัก และมันก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วอย่างขาดประสิทธิภาพ เราส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้องไปให้กลุ่มคนบางกลุ่มว่า รัฐจะหาเงินมาให้คุณตราบเท่าที่คุณยังให้การสนับสนุนรัฐบาลนี้อยู่ ผู้คนเริ่มรู้สึกว่าเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ในการเรียกร้องให้รัฐป้อนเงินมาเรื่อยๆ ถ้าพวกเขามีความเดือดร้อน และที่สำคัญคือมีคนไม่น้อยที่คิดว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายคืน ลูกน้องผมคนหนึ่งพูดขึ้นในวงกินข้าวว่า เขาตัดสินใจแล้วว่าจะจ่ายเงินกู้เพื่อการศึกษา (กยศ.) คืนแก่รัฐ หลังจากที่เขาจบมาทำงานแล้ว 3-4 ปี ผมฟังแล้วก็รู้สึกอึ่งและก็ได้แต่บอกว่าคุณทำถูกแล้ว ที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตัดสินใจเลยหากเป็นหน้าที่ที่จะต้องกระทำ หากแต่มีคนไม่น้อยที่คิดอย่างลูกน้องผมคนนี้ พวกเราอยากได้อะไรมาง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรง ไม่คำนึงถึงหลักการและความถูกต้อง เราจึงพบเห็นการคอร์รับชั่นอยู่ทั่วไป ถึงแม้เราจะรู้ว่ามันไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่ถึงกับคัดค้านต่อต้าน หลายคนที่ต้องพบเจออาจคิดว่าเขายังไม่อยู่ในจังหวะที่ทำเช่นนั้นได้ แต่ถ้ามีโอกาสเขาก็คงทำเช่นกัน ความซื่อสัตย์สุจริต ดูจะมีความหมายใกล้เคียงกับ "เซ่อไม่ทันคนอี่น" คำว่า "ประหยัด" ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากคำว่า"งก ใจแคบ ไม่มีรสนิยม" เมื่อเงินเป็นสิ่งที่มีค่าในสังคม เราก็ทำทุกอย่างเพื่อเงินโดยละเลยเหตุผล หลักการ ความถูกต้อง หรือจรรยบรรณ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าคนที่มีความศรัทธาในศาสนาของตนอย่างแท้จริงจะพยายามทำทุกอย่างบนฐานความเชื่อในศาสนาของตน หรือพูดอีกอย่างคือหลักของศาสนานั้นกลมกลืนเป็นสิ่งเดียวกับการดำเนินชีวิตของเขา เราก็สามารถจะพูดได้เต็มปากว่า เขาคนนั้นเป็นศาสนิกที่แท้ของศาสนานั้นๆ หริออาจจะพูดอีกอย่างว่า ศาสนานั้นๆ เป็นศาสนาประจำตัวของคนคนนั้น แต่เอาหละ...ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นหากคนคนนั้นจะทำอะไรผิดเพี้ยนไปจากหลักของศาสนาของตนบ้าง บางครั้งบางคราวบางเรื่องบางราว ผมก็ยังอนุโลมว่าเขายังเป็นศาสนิกของศาสนานั้นๆ อยู่ แล้วเราจะขีดเส้นที่ตรงใหนดีหละว่าความผิดเพียนแค่ใหนถึงจะยังทำให้เขาเป็นศาสนิกของศาสนานั้นอยู่ ผมว่าจะง่ายกว่าถ้าเราไม่ไปดูที่ความผิดเพี้ยน หากแต่ดูที่น้ำหนักแห่งความศรัทธา ว่าความศรัทธาส่วนใหญ่อยู่ที่ตรงใหน ความเชื่อของเขามุ่งไปสู่สิ่งใด การกระทำส่วนใหณ่นั้นทำเพื่ออะไร การกระทำน่าจะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าผมเป็นชาวพุทธหรือไม่ ได้ดีการประกาศตัวเองหรือจากบัตรประชน หลายๆ ครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่า "เราไม่ได้เป็น อย่างที่เราเชื่อ" "เราไม่ได้ศรัทธา อย่างที่เราคิด" หากแต่เราคิด กระทำ และดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เราศรัทธา ด้วยความเชื่อของผมนี้ หากมีใครสักคนเข้ามาถามผมว่า ศาสนาประจำชาติของเราคืออะไร ผมจะไม่ลังเลที่จะตอบว่า เงิน nobody-คนไม่สำคัญ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | กรกฎาคม 2007 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 |