ความรู้พื้นฐานทางดนตรี
วัตถุประสงค์
2. เพื่อให้นิสิตทราบถึงองค์ประกอบของดนตรี
1.1 ดนตรีกับมวลมนุษยชาติ ดนตรีอาจจะนิยามได้ว่า เป็นเสียงที่ร้อยเรียงอย่างมีระเบียบระบบ ซึ่งเมื่อไปกระทบกับโสตของผู้ฟัง สามารถทำให้เกิดความผันแปรทางอารมณ์ขึ้นมาได้
1.1.1 กำเนิดของดนตรี เป็นการยากที่จะกล่าวหรือระบุได้ว่าดนตรีเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานมาอ้างอิงได้อย่างแน่ชัด จึงได้แต่เพียงสันนิษฐานและตั้งข้อสังเกตจากโบราณวัตถุหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน โดยสันนิษฐานตามหลักการและเหตุผล และคำนึงถึงความเป็นไปได้มากที่สุด ข้อสันนิษฐานที่เกี่ยวกับกำเนิดของดนตรีมีดังนี้
1. ดนตรีอาจจะเกิดจากการที่มนุษย์พยายามร้องเลียนเสียงสัตว์ต่างๆรวมทั้งนกหลายๆชนิด ถึงแม้ว่าเสียงสัตว์เหล่านี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นดนตรีตามความหมายที่เข้าใจกัน แต่การรู้จักร้องเลียนเสียงสัตว์เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะเป่าเขาสัตว์ กระดูกสัตว์ หรือปล้องไม้ไผ่ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้มนุษย์ยังเรียนรู้ที่จะประดิษฐ์เสียงต่างๆจากการนำวัสดุมากระทบกัน เช่น นำไม้มาเคาะกับไม้ หรือนำไม้มาเคาะกับหิน เป็นต้น แต่แรกเริ่มก็คงมีวัตถุประสงค์เพื่อไล่ หรือข่มขู่สัตว์ให้เกรงกลัว ภายหลังจึงได้นำมาประกอบการร้องรำทำเพลง
2. ดนตรีอาจจะเกิดจากการยกระดับเสียงการพูดคุยธรรมดาของมนุษย์
3. ดนตรีอาจจะเกิดจากจังหวะที่ใช้ประกอบการทำงาน มนุษย์พบว่าเมื่อร้องเพลงประกอบการทำงานบางอย่างจะส่งผลให้เกิดความสนุกสนานในการทำงาน ทำให้การทำงานไม่น่าเบื่อหรือน่าเบื่อน้อยลง เช่น การหว่านพืช การเก็บเกี่ยวพืชผล หรือการขนย้ายของขนาดใหญ่ที่ต้องใช้คนจำนวนมาก ดังตัวอย่างเช่น เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ชาวเรือร้องเพลงเรือระหว่างการทำงาน ชาวกรีกและชาวโรมันโบราณใช้กลองตีเป็นจังหวะประกอบการพายเรือของฝีพายเพื่อให้ได้จังหวะในการพายอย่างพร้อมเพรียงตามต้องการ
4. ดนตรีอาจจะเกิดจากเสียงที่เคยใช้เป็นอาณัติสัญญาณ ภายหลังจึงได้นำเสียงที่แตกต่างกันมาร้อยเรียงอย่างมีระบบระเบียบขึ้น ทำให้เกิดเป็นทำนองเพลงขึ้นมา
จากข้อสันนิษฐานต่างๆเหล่านี้ ไม่อาจจะสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าดนตรีเกิดขึ้นอย่างไร แต่ข้อสันนิษฐานเหล่านี้ได้รวมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการพัฒนาเป็นดนตรีที่สมบูรณ์ขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งใช้เวลานานนับศตวรรษ
1.1.2 บทบาทและอิทธิพลของดนตรีต่อมนุษย์
ดนตรีมิใช่เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตกแต่งชีวิตให้วิจิตรและมีสีสัน แต่ดนตรีเข้าไปมีบทบาทและอิทธิพลต่อมนุษย์เป็นอย่างมากตั้งแต่สมัยโบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อจิตใจของมนุษย์ ดนตรีสามารถกระตุ้นจิตใจให้เกิดพลังสร้างสรรค์ เกิดความฮึกเหิม เกิดความสามัคคี หรือกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนได้ ซึ่งสามารถอธิบายได้ถึงการเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลของดนตรีต่อมนุษย์ได้ดังนี้
1. ดนตรีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการประกอบพิธีกรรมศักดิสิทธิ์ทางศาสนา เช่น ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของของชาวคริสต์ หรือการบรรเลงดนตรีเพื่อประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ดนตรีเปรียบเสมือนเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติที่มนุษย์เคารพนับถือ ในศาสนาฮินดู ขลุ่ยถือว่าเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องดนตรีแห่งองค์พระกฤษณะ เทพเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาฮินดู และเชื่อกันว่าพระกฤษณะทรงขลุ่ยเพื่อความงอกงามของพืชพันธุ์และบันดาลให้เหล่านกกาออกมาร้องเพลง นอกจากนี้ดนตรียังเข้าไปมีบทบาทสำคัญในพิธีการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น พิธีการบวช การแต่งงาน งานศพ เป็นต้น
2. ดนตรีมีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยสามารถกระตุ้นจิตใจให้เกิดความฮึกเหิมขึ้นได้ เช่น การทำศึกสงครามในสมัยโบราณนั้นจะมีการประโคมแตรและกลอง ทั้งนี้เสียงแตรและเสียงกลองที่เร้าใจจะช่วยปลุกใจให้ทหารมีความฮึกเหิม และกล้าที่จะทำสงคราม ดนตรียังทำให้เกิดความสามัคคี หรือกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยน เช่น การทำงานหนักหรือการทำงานที่ต้องทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ เมื่อมีการร้องเพลงหรือให้จังหวะอย่างพร้อมเพรียงก็จะส่งผลให้การทำงานนั้นๆบรรลุความสำเร็จได้ ในการการกล่อมเด็กนั้น นานมาแล้วที่ผู้เป็นแม่รู้ดีว่าวิธีที่ดีที่สุดในการชักจูงเด็กเล็กๆให้นอนหลับคือ การขับกล่อมเด็กด้วยเสียงเพลงที่สงบ เยือกเย็น อ่อนโยน นอกจากนี้ดนตรียังทำให้เกิดการผ่อนคลายทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยมนุษย์นำดนตรีมาบรรเลงดนตรีหลังจากการทำงานในชีวิตประจำวัน หรือเพื่อการฟังอย่างเพลิดเพลินมีอรรถรส ตลอดจนประกอบการละเล่นต่างๆ
3. ดนตรีเข้ามามีบทบาทในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ใช้เครื่องดนตรีประเภทเคาะ เช่น ระฆังฆ้อง และกลอง เป็นสัญญาณในการสื่อสารต่าง ๆ เช่น เพื่อการป้องกันภัย เพื่อบอกเวลา หรือเพื่อส่งสัญญาณหรือแทนสื่อข้อความต่างๆ
นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ดนตรียังเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อมนุษย์อีกมากมาย มนุษย์เราใช้ดนตรีเพื่อสื่อสารอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แห่งความรัก ความห่วงหาอาลัย ความอึดอัดกระวนกระวายใจ ความโศกเศร้าหรือความสุข ฯ จึงถือได้ว่าดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างที่ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้
1.2 กำเนิดและวิวัฒนาการของเครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีชนิดใดถือกำเนิดขึ้นเป็นชิ้นแรกในโลกนั้น ยังเป็นเรื่องที่หาข้อสรุปไม่ได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับการกำเนิดของดนตรี ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณซึ่งยากต่อการที่จะหาหลักฐานมายืนยัน ดังนั้นจึงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้มากที่สุด โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณวัตถุ หรือจากการเขียนภาพบนผนังถ้ำของมนุษย์ในสมัยโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างของเครื่องดนตรีที่หลากหลายจึงมีความจำเป็นที่ต้องแบ่งแยกประเภทเครื่องดนตรีออกเป็นกลุ่ม การจะแบ่งแยกประเภทอย่างไรนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องเป็นตัวกำหนดในการแบ่งแยกประเภท เช่น วัสดุที่ใช้หรือผลิตเครื่องดนตรี การกำเนิดเสียง หรือวิธีการเล่น เป็นต้น ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในเรื่องของระบบเสียง ขนาด รูปทรง วิธีการบรรเลง ฯลฯ ทั้งนี้ซึ่งขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของมนุษย์ที่แตกต่างกันตามแต่ละกลุ่มชน
ในหลายๆวัฒนธรรมได้แบ่งกลุ่มของเครื่องดนตรีออกเป็น 4 กลุ่มคือ เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี และเครื่องเป่า หรือบางวัฒนธรรมก็จะรวมเอาเครื่องดีดและสีเป็นกลุ่มเดียวกันเรียกว่ากลุ่มเครื่องสาย เช่น ในวัฒนรรมดนตรีตะวันตก แต่บางวัฒนธรรมได้จัดแบ่งกลุ่มของเครื่องดนตรีโดยมีเรื่องหลักปรัชญาทางศาสนามาเกี่ยวข้อง เช่น ในวัฒนธรรมจีนตามแบบลัทธิขงจื๊อได้จัดแบ่งกลุ่มเครื่องดนตรีออกเป็น 8 กลุ่มคือ โลหะ หิน ไม้ ดินเหนียว หนัง ไม้ไผ่ น้ำเต้า และไหม เป็นต้น
ในปีค . ศ .1914 นักดนตรีวิทยาชื่อ อีริคส์ วอน ฮอร์นบอสเทล และ เคิร์ท ซาคค์ (Erich von Hornbostel and Curt Sachs) ได้จัดแบ่งกลุ่มเครื่องดนตรีต่างๆของโลกออกเป็น 5 กลุ่มจากวิธีการกำเนิดเสียงของเครื่องดนตรีเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มเครื่องกระทบ กลุ่มเครื่องหนัง กลุ่มเครื่องสาย กลุ่มเครื่องลม และกลุ่มเครื่องอิเลคโทรนิค ซึ่งเป็นระบบที่เป็นสากลที่สุดในปัจจุบัน
การที่เรียกว่ากลุ่มเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่ากลุ่มเครื่องกระทบอาจจะไม่ค่อยถูกต้องตามความหมายนัก เนื่องจากคำว่า Idiophone มาจากการรวมคำ 2 คำในภาษากรีกคือคำว่า idio หมายถึง ตัวเอง และคำว่า phon ซึ่งหมายถึง เสียง ดังนั้นกลุ่มเครื่องดนตรี idiophone จึงหมายถึง เครื่องดนตรีที่เกิดเสียงขึ้นในตัวเองไม่ว่าจะโดยการตี ทุบ ขูด ดึง หรือเขย่า ทั้งนี้อาจจะมีระดับเสียงหรือไม่มีระดับเสียงก็ได้ วัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรีก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น หิน ไม้ ดินเหนียว โลหะ หรือวัสดุอื่นๆ สันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มแรกในโลก กล่าวคือในสมัยดึกดำบรรพ์นั้นมนุษย์ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ อาวุธที่ใช้ในการล่าสัตว์นั้นทำจากไม้ หรือหิน เมื่อเจอสัตว์ก็จะขว้างไม้หรือก้อนหินไปที่ตัวสัตว์ อาจจะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ก้อนหินหรือไม้ที่มนุษย์ขว้างออกไปนั้นอาจไปกระทบกับก้อนหินก้อนอื่นๆที่มีขนาดต่างกัน ทำให้เกิดเป็นเสียงที่แตกต่าง มนุษย์ก็เกิดการเรียนรู้ที่จะนำก้อนหินหรือไม้ที่มีขนาดและรูปทรงที่แตกต่างกันมากระทบกันเพื่อให้เกิดเสียง
สำหรับระดับเสียงที่แตกต่างกันนั้นเกิดจากสองลักษณะคือ เกิดจากการตึงและหย่อนของเส้นเสียง หรือการเปลี่ยนรูปปาก เส้นเสียงเปรียบเสมือนสายกีต้าร์ซึ่งถูกนำมาขึง หากขึงสายให้ตึงมาก เมื่อดีดสายนั้นลงไปก็จะเกิดการสั่นสะเทือนที่มีความถี่อย่างรวดเร็ว เสียงที่เกิดขึ้นจะมีระดับเสียงสูง ตรงกันข้ามหากขึงสายให้หย่อน เสียงที่เกิดขึ้นจากการดีดนั้นจะมีความถี่ของการสั่นสะเทือนช้า ทำให้เกิดเสียงต่ำ เช่นเดียวกันกับเส้นเสียง หากเกิดการตึงตัวของเส้นเสียง เสียงที่เกิดขึ้นก็จะมีระดับเสียงสูง หากเกิดการหย่อนของเส้นเสียง เสียงที่เกิดขึ้นก็จะมีระดับเสียงต่ำ ยิ่งตึงหรือหย่อนมาก เสียงที่เกิดขึ้นก็ยิ่งสูงและต่ำมาก
แหล่งอ้างอิง
http://www.elearning.msu.ac.th/opencourse/0600001Saran/unit01/unit01_02.htm