04 ตุลาคม 2553
Harmonica History - ประวัติฮาร์โมนิก้า
Harmonica หรือรู้จักกันในชื่ออื่นๆ เช่น Blues Harp, Mouth Organ หรือภาษาไทยเรียกว่า หีบเพลงปาก
ฮาร์โมนิกาจัดอยู่ในประเภทเครื่อง Wood Wind หรือเครื่องลมไม้ เล่นด้วยวิธีการ เป่าและดูด
สมัยโบราณเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนที่ประเทศจีน มีการสร้างเครื่องดนตรีที่ใช้โลหะมาทำเป็นลิ้นเสียงใช้เป่าและดูดเพื่อให้เกิดเสียงดนตรีแบบเดียวกับฮาร์โมนิกาปัจจุบัน จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของฮาร์โมนิกาที่เก่าแก่ที่สุด
ประวัติฮาร์โมนิกาในปัจจุบันนั้นเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1821 หรือ พ.ศ.2364 โดยคริสเตียน ไฟรดริช บุสชมานน์ วัย 16 ปี เป็นผู้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ประดิษฐ์กรรมทางดนตรีของเขา ซึ่งเขาเรียกว่า ออร่า(Aura)
บุชมานน์ อธิบายแก่พี่ชายของเขาว่า เครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีพิเศษ ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงแค่ 4 นิ้ว แต่ให้เสียงดนตรีได้ถึง 20 ตัวโน้ต
จากนั้นเขาเริ่มออกแบบฮาร์โมนิกา และก็มีผู้นำไปปรับแต่งและพัฒนาออกมาอีกมากมาย นักประดิษฐ์เครื่องดนตรีชาวโบฮีเมียนนามว่า "ริชเตอร์" เป็นผู้ที่ทำการพัฒนาครั้งสำคัญที่สุดในการออกแบบฮาร์โมนิกายุคใหม่

ราวๆปี 1829 เขาได้พัฒนาความหลากหลายของเครื่องดนตรีชนิดนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย 10 ช่อง 20 ลิ้นเสียง และรูปแบบการเรียงโน้ตของฮาร์โมนิกา เรียกว่า Richter-Tuned หรือ การตั้งเสียงแบบริชเตอร์ เป็นมาตรฐานมาถึงปัจจุบัน
ในปี 1857 ประวัติของฮาร์โมนิกาได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อช่างนาฬิกาชาวเยอรมัน แมตทิสซา ฮอห์เนอร์ หันเหสู่อุตสาหกรรมผลิตฮาร์โมนิกาชนิดเต็มรูปแบบซึ่งเขาคิดไม่ผิด เพราะในปีนั้นเพียงปีเดียวเขาสามารถผลิตเครื่องดนตรีออกมาถึง 650 ชิ้น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มีงานให้คนในท้องถิ่นทำ และก็พัฒนาสินค้าให้เป็นที่รู้จัก
ฮอห์เนอร์นำฮาร์โมนิกาเข้าสู่อเมริกาเหนือในปี 1862 ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้บริษัทของเขาขึ้นไปยืนอยู่ในสถานะผู้นำในการผลิตฮาร์โมนิกา ในปี 1887 ฮอห์เนอร์ผลิตฮาร์โมนิกามากกว่า 1ล้านชิ้น และทุกวันนี้เขาก็ได้ผลิตฮาร์โมนิกาที่แตกต่างกันออกมามากกว่า 90 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเลือกใช้กับแนวดนตรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวดนตรี Classic, Jazz, Blues หรือ Rock
ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตฮาร์โมนิก้าก็มีหลากหลายยี่ห้อ ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงก็ เช่น Hohner, Suzuki, Lee Oskar
อ้างอิง
หนังสือพิมพ์มติชน
en.wikipedia.org
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เมาส์ออแกน
ประวัติเมาส์ออแกน
เมาท์ออร์แกนเป็นเครื่องดนตรีของชาวสก๊อตแลนด์ในปีค.ศ.1763 (ประมาณพ.ศ.2306) พัฒนาจากเครื่องเป่าของชนเผ่าอีทรีสกันในโรมันเมื่อก่อนคริสตกาล 742ปี ต่อมานักดนตรีชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาลส์ โรลบินส์ได้พัฒนาจากเครื่องเป่าที่หนักมากกว่า2.7 กิโลกรัม ลดลงเหลือ1.3 กิโลกรัม และเสียงไพเราะกว่าเดิมจึงนำไปขายโดยให้ชื่อว่า "ชาล โรลออร์แกนิส" แต่กลับขายไม่ได้เพียงเครื่องเดียว ทำให้เครื่องดนตรีชิ้นนี้ถูกลบเลือนในประวัติศาสตร์ในชั่วกาล แต่ต่อมานักดนตรีในเยาว์ชาวฟินแลนด์ชื่อ "โธมัส เมาท์เลทุส" เขามีอายุเพียง 16 ปีได้ซื้อเครื่องดนตรีชนิดนี้กลับพบว่า ไพเราะมากเพียงแค่หนักเกินไป จึงสร้างขึ้นมาใหม่ จึงมีขนาดกะทัดรัด เบาบาง และไพเราะ จึงตัดสินใจนำไปขายปรากฏว่าขายดีมากเป็นพิเศษ จึงได้ให้ชื่อว่า"เมาท์ออร์แกน" เพราะพกพาได้ เครื่องดนตรีชิ้นนี้จึงแพร่ขยายไปทั่วโลกนั่นเอง
Harmonica หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่าเมาท์ออร์แกน ถูกคิดค้นโดย Buschmann Christian ในปี 1821 ในขณะที่เขามีวัยเพียง 16ปี ตอนแรกเขาเรียกเครื่องดนตรีใหม่นี้ว่า "Aura" หรือ "Mundaeoline"Handharmonika
Buschmann อธิบายให้พี่ชายของเขาฟังว่า"เครื่องดนตรีชนิดใหม่ที่มีโดดเด่นอย่างแท้จริง. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงสี่นิ้ว แต่ให้โน๊ตได้ถึง 21 ตัวโน๊ต
หลังจากนั้นก็ถูกลอกเลียนแบบ และดัดแปลงไปอย่างแพร่หลายที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนจำนวนมาก จนกระทั่งถึงปี 1826 ช่างทำเครื่องดนตรี ชาวโบฮีเมียนที่มีชื่อริกเตอร์ ได้ทำพัฒนาให้มีจำนวนรู 10 และ 20 รู แยกกันระหว่างช่องดูดแลเป่า
ในปี 1857, ประวัติศาสตร์ของHamonicaได้เปลี่ยนไปอีครั้งโดยช่างทำนาฬิกาชื่อ Matthias Hohner ได้หันไปผลิต Harmonica เต็มเวลาโดยความช่วยเหลือจากครอบครัวและคนงานของเขา
แนะนำฮาร์โมนิก้า 3 ประเภท
3 ประเภทฮาร์โมนิก้า ที่นิยมเล่น และควรฝึกเรียงตามลำดับ ดังนี้
1. Tremolo Harmonica ลักษณะเด่น จะมีช่องเป่า ช่องดูด คนละช่องกันสลับกันไป จะมีจำนวนเสียงเท่ากับจำนวนช่อง ที่พบเห็นจะมีขนาดตั้งแต่ 16, 20, 21, 24, 28 ,32 ช่องเสียง
2. Chromatic Harmonica ลักษณะเด่นสามารถเล่นโน้ตครึ่งเสียง แฟล็ต ชาร์ปได้ ที่นิยมจะมีที่กดด้านข้าง ทุกครั้งที่กดจะทำให้เสียงสูงขึ้นอีกครึ่งเสียง ในช่องเดียวกันสามารถทั้งเป่า และดูดได้ ถ้ารวมเสียงที่เกิดในช่องเดียวกันจะมีถึง 4 เสียง (โน้ตปกติ 2 เสียง โน้ตแฟล็ต+ชาร์ป อีก 2 เสียง) แต่ข้อดีเล่นเพลงทุกเพลงในโลกได้ ไม่ต้องซื้อฮาร์โมนิก้า หลาย ๆตัว
3. Diatonic 10 Holds ลักษณะเด่นมีเพียง 10 ช่อง แต่มี 20 เสียงเพราะในช่องเดียวกันทั้งเป่าและดูด แต่สามารถเป่าเพี้ยนเสียง Bend ได้อีกตามความสามารถของผู้เล่น นิยมเล่นเพลงสไตล์แจ๊สบูลส์ สำหรับ Ensemble Harmonica เป็นวงดนตรีกลุ่มเครื่องดนตรีฮาร์โมนิก้า ที่มี 3 เครื่องหลักคือ Chromatic , Chords , Double Bass
แนะนำโน้ตบน HARMONICA
โด เร มี ฟา ซอล ลา ที
C D E F G A B
ซึ่ง C=โด D=เร E=มี F=ฟา G=ซอล A=ลา B=ที
ก็เลยให้ โด มี ซอล เล่นโดยการเป่า
ส่วน เร ฟา ลา เล่นโดยการดูด
คราวนี้ก็เหลือ ที ชึ่งก็ให้เล่นโดยการดูดเหมือนกัน โด รอบใหม่จะได้เริ่มเป่าใหม่
C d E f G a C b
(ตัวใหญ่=เป่า ตัวเล็ก=ดูด)
จะมีสลับก็แค่ ที-โด
ข้อดีอีกอย่างของการสลับโน้ตก็คือ ถ้าเป่า ไม่ว่าจะตรงไหน ก็จะได้เสียง โด มี ซอล ชึ่งถ้ามีพื้นมาบ้างก็จะรู้ว่า มันคือ คอร์ด C Major ชึ่งจะตรงกับ key ของ harmonica นั่นเอง ทำให้ เล่นยังไง ก็เพี้ยนยาก

ท่าเต้น jazz มันคืออะไร? ที่นี่คือ คำตอบ ค่ะเชิญ !
บอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้ โพสท์โดย แซ่บเวอร์
การเต้นแจ๊ส (Jazz Dance) การเต้นแจ๊สเป็นรูปแบบการเต้นชนิดหนึ่งของชาวแอฟริกันอเมริกันในประเทศอเมริกา
ที่ เกิดในช่วงต้นค.ศ. 20 เป็นการเต้นรำเพื่อความสนุกสนานและเพื่อการเข้าสังคม เป็นการเต้นเข้ากับจังหวะของ
ชาวแอฟริกันที่ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวโดยการแยกส่วนต่างๆของร่างกาย (Isolation) ออกแล้วประดิษฐ์เป็นท่าเต้น
ในลักษณะต่างๆ คำว่าแจ๊สแดนซ์เริ่มใช้กันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และในช่วงประมาณปีค.ศ.1920 เป็นต้นมา
การเต้นแจ๊สแดนซ์ก็กลายมาเป็นการเต้นของพวกผิวขาว
เป็นต้น เนื่องจากเป็นการเต้นที่ง่าย มีจังหวะเร็วและสนุกสนานจึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ต่อมาได้มีการพัฒนา
ท่าเต้นโดยเป็นการเต้นกับดนตรีแจ๊ส และพัฒนาขึ้นเป็นการเต้นที่มีเทคนิคและมีหลักเกณฑ์มากขึ้น การเต้นแจ็ส
แดนซ์เป็นที่นิยมมากในช่วงยุค 1950 เนื่องจากมีการแสดงในรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์เพลง และมีการแสดงใน
บาร์อย่างแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยลักษณะของการนำเสนอจะเป็นการเต้นแจ๊สแดนซ์ผสมกับการเต้น
แท็ปแดนซ์ (Tap Dance) ซึ่งเรียกว่าการเต้นเพื่อการแสดง (Theatre Dance) หรือการเต้นแจ็สแดนซ์ผสมกับ
การเต้นบัลเล่ต์ (Ballet) เรียกว่าเป็นการเต้นแบบโมเดอร์นแจ๊ส (Modern Jazz) ซึ่งจะเป็นการเต้นที่มีจังหวะช้า
กว่าและผู้เต้นจะต้องมีความสามารถในการเต้นเทคนิคบัลเล่ต์เป็นอย่างดีจึงจะเต้นได้สวยงามและเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ที่ได้ชม
เนื่องจากการเต้นแจ๊สแดนซ์ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นการเต้นเพื่อการแสดงดังนั้นนักเต้นแจ๊สแดนซ์อาชีพ จึงควรจะต้องมี
ทั้งรูปร่างที่สมส่วน หน้าตาที่สวยงามหรือสามารถแต่งให้สวยงามได้ และความสามารถที่โดดเด่นจึงจะประสบความ
สำเร็จในอาชีพ