ฮีโร่ในใจ ขอประเดิมเรื่องชีวิตแรกของการประเดิมเปิดบล็อกครั้งแรกของตัวเองก่อนนะคะ ซึ่งจุดประสงค์แรกในการเปิดบล็อกนี้ก็ต้องการที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่น่าสนใจ บุคคลที่คนอาจจะลืมกันไปแล้ว รวมทั้งเรื่องราวของคนที่อยู่นอกความสนใจแต่น่าสนใจมานำเสนอ ซึ่งบุคคลแต่ละท่านอาจจะเป็นคนที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันอยู่บ้างแล้ว บางคนอาจจะไม่รู้จักเลย แต่แน่นอนว่าชีวิตของแต่ละคนที่นำมาเสนอเป็นชีวิตที่เราสามารถหยิบหรือจับเรื่องของพวกเขามาอ่านแล้วยิ้มหรือร้องไห้ได้ทุกเวลา แต่ก่อนที่ดิฉันจะนำเรื่องราวของบุคคลอื่นมานำเสนอ ดิฉันอยากจะนำเรื่องของบุคคลที่ดิฉันรักและเคารพซึ่งเป็นเงาติดตามตัวดิฉันทุกวันทุกเวลา บุคคลที่เป็นคนจุดประกายความฝันและความคิดของดิฉัน รวมทั้งการปลูกฝังทุกอย่างในชีวิต ให้ดิฉันมีชีวิตอยู่ทุกวันอย่างมีความคิดที่มีแบบแผน แม้ว่าปัจจุบันท่านจะจากดิฉันไปเป็นเวลาถึง16 ปีแล้ว แต่ทุกความคิด ทุกคำสอน ทุกความรู้สึกไม่เคยตายจากความรู้สึกของดิฉันเลยแม้เสี้ยววินาที พ่อ

แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เรียกชื่อของพ่อ แต่ทุกครั้งที่มีปัญหา ทุกครั้งที่แก้ปัญหาไม่ตก ดิฉันจะเอ่ยชื่อพ่อและพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ ว่า พ่อช่วยลูกด้วย ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนอาจจะผูกพัน บางคนอาจจะห่างไกล แต่สำหรับดิฉันแล้วพ่อเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง ดิฉันเกิดจากครอบครัวที่พ่อกับแม่แยกทางกัน แต่พ่อมักจะพูดให้เข้าใจเสมอว่า ปัญหาของพ่อแม่คือปัญหาของคนสองคน อย่าเอาปัญหาของคนสองคนมาสร้างปัญหาให้กับตัวเองด้วยคำว่า เราเกิดมาจากครอบครัวที่มีปัญหา เพราะความเป็นจริงเราไม่ได้เกิดจากครอบครัวที่มีปัญหา แต่เราเองต่างหากที่เป็นคนสร้างปัญหา ดังนั้นหากจะทำอะไรผิดพลาดลงไปเกิดจากตัวเรา ไม่ใช่ครอบครัว ครอบครัวเป็นเพียงแค่สถาบัน หากคนในสถาบันสร้างปัญหาก็เกิดจากคนที่อาศัยอยู่ไม่ใช่สถาบัน การที่เด็กที่เกิดจากครอบครัวที่มีปัญหาไม่ได้หมายความว่าชีวิตของทุกคนต้องล้มเหลว หลายคนเกิดจากครอบครัวที่สมบูรณ์แบบแต่ชีวิตกลับล้มไม่เป็นท่า ดังนั้นดิฉันจึงถูกสอนด้วยระบบความคิดมาตั้งแต่เด็ก จนบางครั้งไม่สามารถคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันรู้เรื่องและเข้าใจได้ เพราะระบบแนวคิดที่พ่อคอยสอนเป็นระบบที่จะต้องนำมาใช้ในอนาคต เวลาที่ไม่มีพ่ออยู่ในโลกใบนี้แล้ว ประโยคที่พ่อเคยพูดว่า สมมติว่าวันนี้มีพ่ออยู่ แล้วเกิดพรุ่งนี้เช้าพ่อเดินไปแล้วถูกรถชนตายลูกต้องอยู่ให้ได้ บางครั้งถ้าได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเราได้ยินได้ฟังก็อาจนึกในใจว่าพ่อพูดตลก เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับชีวิตของดิฉันแล้วมันเป็นจริงเร็วมาก พ่อพูดจริง พ่อให้เตรียมรับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง และถ้ามันเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันต้องอยู่ได้ คำว่าอยู่ได้ คือ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ให้เสียชื่อลูกของพ่อ อยู่อย่างมีคุณค่า พ่อมีแนวความคิดที่ดูจะแตกต่างจากคนอื่น พ่อมักจะพูดให้คิดเองตั้งแต่ดิฉันเด็กๆ ดิฉันจำได้ว่าวันหนึ่งเคยนั่งตักพ่อ พ่อโยกตัวดิฉันแล้วผิวปากเป็นเพลง วันนั้นรู้สึกว่าดิฉันไม่กลัวอันตรายใดๆ ที่จะเข้ามาใกล้เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของพ่อ แต่แล้วใครจะคาดคิดว่าเมื่อวันหนึ่งไม่มีพ่ออยู่ ดิฉันก็ไม่กลัวอันตรายเช่นกัน เพราะพ่ออยู่เป็นเงาติดตามตัวดิฉันตลอดเวลา นั่นคือ ระบบของความคิดที่พ่อมอบให้ไว้ตั้งแต่เด็ก มันคือเกราะคุ้มกันชั้นยอด ที่ไม่มีเกจิอาจารย์องค์ไหนมี พ่อสอนเสมอว่า ไม่มีคำว่าวันพรุ่งนี้ ถ้าจะทำอะไรต้องทำวันนี้ ความหมายของคำว่า ไม่มีวันพรุ่งนี้ คือ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง อย่ามีข้ออ้างเพื่อที่ตัวเองจะได้สบายไปอีกวัน เพราะหากใช้คำว่าวันพรุ่งนี้ วันนี้เราก็ไม่พบกับความสำเร็จ เมื่อเจอปัญหา ต้องเจอทางแก้เสมอ หากเจอปัญหาอย่าหนีปัญหา เพราะถ้าเราหนีปัญหา ปัญหาก็ยังตามเราไปทุกหนทุกแห่ง นั่นคือ ไม่มีใครหนีปัญหาได้พ้น วิธีแก้ คือเราต้องแก้ปัญหาต้องดูตั้งแต่ต้นเหตุไปถึงปลายเหตุ ค่อยๆ ประมวลเหตุการณ์อย่างใจเย็น ระหว่างที่รอการแก้ปัญหามันอาจจะทรมาน แต่มันต้องสำเร็จ มันใช่เลย บางครั้งเมื่อเกิดปัญหาดิฉันจะเครียดกับมันทุกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะแก้ปัญหาได้ แต่ทุกครั้งที่เกิดปัญหาดิฉันจะนึกถึงพ่อ พ่อคนที่เคยอยู่เคียงข้าง และคอยแก้ปัญหาให้ลูกทุกครั้งที่ลูกมีปัญหา เมื่อเรามองทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงาม เราก็ต้องไม่ประมาทกับความสวยงามที่เห็น นั่นคือ การไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต ความสวยงามนั่นคือ สิ่งที่ฉาบไปด้วยยาพิษ ดังนั้นเราต้องไม่หลงกับสิ่งสวยงามที่ยั่วยวนอยู่เบื้องหน้า ทุกอย่างที่พ่อเคยบอกเคยสอนมันเป็นเหมือนเกราะแก้วคุ้มภัย วันแรกที่ต้องสูญเสียพ่อมันเหมือนกับความสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กระทั่งเราได้ทดลองใช้ชีวิตอย่างที่พ่อบอก ไม่มีพ่ออยู่ ต้องอยู่ให้ได้ เพราะประโยคนี้เองที่หล่อเลี้ยงดิฉันให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้ ได้อย่างที่น่าทึ่ง เพราะประโยคคำสอนของพ่อที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง หวังว่าวันหนึ่งจะทำตามฝันให้สำเร็จ ซึ่งครั้งหนึ่งก่อนที่พ่อจะจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัว พ่อเคยถามว่าอยากทำงานอะไรดิฉันเคยตอบพ่อว่า อยากเป็นทนายความ พอพูดจบพ่อพูดต่อว่า พ่อไม่อยากให้เป็นทนายความ เป็นทนายความมันอันตราย ผู้หญิงเป็นทนายความมันเสี่ยง แต่พอความอยุติธรรมมันคอยทำร้ายผู้ที่อ่อนแอให้เพลี้ยงพล้ำอยู่เสมอ มันก็ทำให้เราต้องสู้ นั่นคือ ถ้าผู้หญิงรู้กฎหมายมันก็ทำให้เรารู้สึกเป็นต่อ คือ อยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยในระดับหนึ่งที่อยู่ได้ เพราะความจรองที่หนีไม่พ้น นั่นก็คือ ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า ฝ่ายที่เข้มแข็งกว่าต้องเป็นฝ่ายชนะ แต่หากต้องแพ้คือเราต้องผ่านขั้นตอนของการต่อสู้มาแล้ว คือ สู้แล้วแพ้ไม่ใช่แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้ ดิฉันขอเอาความรักที่มีต่อพ่อ ความรู้และความคิดที่พ่อมอบให้ เป็นหนทางในการเบิกทาง เปิดทางของการเปิดตัวบล็อกนี้นะคะ และถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากจะตะโกนให้ดังทั่วฟ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากนี้ไป ลูกของพ่ออยู่ได้ ขอพ่ออย่าได้ห่วง รักพ่อที่สุดค่ะ
|