ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่หายไปสักพักใหญ่ๆอีกแล้ว ครั้งนี้เปลี่ยนtemplateใหม่เป็นสีชมพูหวานแหวว แต่ดิฉันไม่ได้กำลังอินเลิฟหรอกนะคะ แค่คิดว่าน่าจะเข้ากับเรื่องแชทๆมากกว่าอันเก่าที่เป็นสีดำทะมึน เพราะว่าtemplateนี้มีรูปรอยจุ๊บที่เป็นริมฝีปากใครก็ไม่รู้อยู่ข้างบนด้วย ฮ่าๆ คราวนี้ก็ต้องเปลี่ยนสีตัวอักษรใหม่หมดเลยค่ะ เพราะสีสะท้อนแสงแบบเก่าทำให้มองไม่เห็น ต้องกลับไปแก้เอ็นทรี่ที่ผ่านมา กลายเป็นว่าต้องอัพทุกเรื่องใหม่ไป เลยต้องรีบมาอัพเอ็นทรี่นี้แต่เช้า เพราะเดี๋ยวชาวโอเคท่านอื่นๆจะงงว่าจะมาอัพซ้ำอะไรเนี่ย ใครมีวิธีที่ดีกว่านี้ก็แนะนำกันได้นะคะ ขอโทษอีกครั้งจริงๆค่ะทุกท่าน มาว่าเรื่องแชทๆกันต่อค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านข่าวข่าวหนึ่งที่เกี่ยวกับการแชท ที่อ้างผลสำรวจของเอแบคโพลว่า ร้อยละ 70 ของเด็กที่ชอบแชททางอินเทอร์เน็ต กับคนแปลกหน้า จะนำไปสู่การพบปะกัน โดยเด็ก 1 ใน 10 คนเคยมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ที่รู้จักจากการแชท ทั้งนี้ ได้ลงนามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของเด็กบนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีนายชาญยุทธ โฆศิรินนท์ รักษาการปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นประธาน http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=66819 เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ในวงการแชทมานาน(คล้ายวงการบันเทิง...ฮา)เมื่ออ่านแล้วก็เกิดการตั้งคำถามว่าที่หนูๆแชทกันน่ะ เพียงเพราะต้องการหาคนรักเท่านั้นหรอกหรือ ทำไมเด็กไทยสมัยนี้ถึงคิดแต่เรื่องอย่างนี้กันเล่า ป้าล่ะเซ็งจริงๆ เฮ้อ(แอบบ่น) แล้วนโยบายที่สร้างขึ้นมาแบบวัวหายล้อมคอกแบบนี้ จะแก้ปัญหาได้จริงๆล่ะหรือ เพราะปัญหานี้มีมานานแล้ว ยังนึกภาพไม่ออกว่ารัฐบาลจะสามารถเข้าไปควบคุมได้ทั่วถึงอย่างไร แต่ก็คงจะดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลยกระมัง... เริ่มไปไกลแล้ว อ้าว กลับมาๆ การแชทสามารถนำไปสู่การพบปะกันได้ เนื่องจากเรายังมีความต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอยู่ แม้ว่าในตอนแรกจะเป็นการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์ แต่สื่อก็กระตุ้นให้เกิดการนัดพบปะแบบเผชิญหน้าอยู่ดี เพราะคอมพิวเตอร์ทำให้เราใกล้ชิด สนิทสนมกันได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น คราวนี้ก็บังเกิดเป็นความผูกพัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะรู้สึกชอบตัวอักษรของใครสักคนเพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่การนัดพบกันหมายถึงว่าเราต้องมีเพศสัมพันธ์กันงั้นหรือ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยบอกรักคุณผ่านmsn ก็เถอะ ถ้าเป็นอย่างนี้ หรือเราจะพบกันไม่ได้ ? เราพบกันได้ค่ะ แต่ขอเพียง.... ก่อนที่ตัดสินใจไปพบกับใคร ก็ขอให้ดูกันนานๆก่อน ดูจนแน่ใจว่าเขาเป็นคนอย่างไร สำหรับดิฉันนานๆในที่นี้คืออย่างน้อยต้องคุยกันมาสักหนึ่งปีนะคะ ซึ่งเด็กๆ หรือผู้ใหญ่สมัยนี้คงจะรอไม่ได้ แต่อยากจะให้รักตัวเองก่อนไม่ดีกว่าหรือ เวลาคุยกันก็สามารถสังเกตได้จากข้อความที่เขาพิมพ์มา ถ้าบอกชอบตั้งแต่วันแรกที่คุย ก็ไม่ใช่แล้วล่ะ อะไรจะชอบกันได้รวดเร็วปานนั้น แม้สื่อเป็นตัวกำหนดการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ให้เราต้องสื่อสารด้วยการพิมพ์ข้อความติดต่อกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ต้องเขียนบล็อก ต้องแชท แต่เราก็สามารถกำหนดตัวเราเองได้ว่าเราจะไปพบเพื่อนแปลกหน้าคนนั้นหรือไม่ ถ้าสนิทกันมากๆ แต่ในวันที่พบกันเขากลับนัดเจอที่โรงแรม แค่สถานที่ก็ชวนให้คิดแล้วว่าหมอนี่มันยังไงกันแน่ ก็ไม่ควรจะไป แต่น่าแปลกนะคะที่ข่าวออกมาส่วนใหญ่จะเป็นการนัดพบกันในที่ลับตาคน และสุดท้ายจุดจบคือการลวงไปข่มขืนแล้วฆ่า อย่างนี้แสดงว่าคนไปก็เต็มใจที่จะไปตั้งแต่แรกใช่หรือไม่ ? ถ้าอยากจะพบกันจริงๆ ควรไปสถานที่ที่มีคนเยอะๆดีกว่าค่ะ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นจะได้หาทางหนีทีไล่ได้สะดวก และจะได้ดูพฤติกรรมของอีกฝ่ายด้วยว่าถ้าอยู่ต่อหน้าสาธารณชน เขาจะปฏิบัติกับเราอย่างไร หรือถ้าไม่กล้าไปคนเดียวก็ขอให้เพื่อนๆไปด้วยก็จะดี มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน อีกอย่างคือแนะนำให้บอกผู้ปกครองค่ะ ถึงแม้ว่าคุณๆอาจจะอยู่ในวัยที่ไม่ใช่วัยสะรุ่นแล้วก็ตาม (ฮา) เพื่อท่านจะได้รับรู้ไว้ว่าลูกไปพบใคร ที่ไหน เป็นการป้องกันไว้ก่อน และถ้าไปแล้วดูหน้าตา กับรูปถ่ายที่ส่งให้แล้วมันไม่ใช่ เพราะเป็นคนละคนกันชัดๆ ก็ไม่เสียมายาทหรอกค่ะหากคิดจะชิ่ง เพราะเขาโกหกเราก่อนนี่นา แล้วเราจะเข้าไปทักทาย ไปว่ากล่าวคนแบบนี้ทำไมให้เกิดเรื่องเกิดราวและเสียเวลา สู้กลับไป แล้วบล็อกเจ้าเพื่อนคนนี้ดีกว่า เราพบกันได้..... แต่เมื่อจากโลกออนไลน์มาสู่โลกแห่งความจริงแล้ว ก็ต้องคิดว่าปลอดภัยไว้ก่อน เพราะนี่ไม่ใช่การสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์ที่สามารถจะออฟไลน์ได้ในทันทีที่ต้องการ อยากรู้ไหมคะว่าตอนดิฉันพบเพื่อนออนไลน์ครั้งแรกเป็นอย่างไร ไว้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ ;)
|