
วันนี้นอกจากอากาศจะร้อน ยังมีเรื่องร้อนใจเข้ามาแต่เช้า เมื่อเพื่อนสาวคนหนึ่งให้ฉันโทรไปคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกัน เราคุยกันยืดยาว ทั้งมีสาระ ไม่มีสาระ บางครั้งการแลกเปลี่ยนความจริงระหว่างกันและกัน ก็สร้างความปวดร้าวได้ไม่น้อย คุยจบโรคเครียดฉันกำเริบ มะม่วงน้ำดอกไม้สีเหลืองสุกงอมหอมหวานที่เพิ่งกินก่อนหน้าที่จะคุยโทรศัพท์ไม่ถึงสิบนาที พาเหรดกันเดินทางออกมาทางเดียวกับที่เดินเข้าไป ล้างปากล้างคอแล้ว ฉันก็จัดการอาบน้ำใหม่อีกรอบ บางทีน้ำเย็นอาจช่วยให้ความรุ่นร้อนในใจเบาบางลงได้ แต่เอาเข้าจริงเมื่อเปิดฝักบัวฉันก็อาบน้ำอุ่นเหมือนเดิมตามประสาคนที่เสพติดความสบายในการอาบน้ำอุ่น คิดได้ดังนั้นฉันก็หมุนที่เปิดน้ำให้ย้ายมาอยู่ฝั่งขวามือ น้ำอุ่นจนเกือบร้อน ค่อยๆ ลดทอนอุณหภูมิลงเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นน้ำเย็นธรรมดา ฉันปล่อยน้ำเย็นจากฝักบัวขนาดใหญ่ไหลรดร่างกายตนไปเรื่อยๆ แล้วพลันหนึ่งก็คิดถึงคำพูดของพี่สาวทางจิตวิญญาณที่ว่า ความนิ่ง ความเย็นจากภายในจะเป็นยาวิเศษในการสมานแผลที่ร้าวลึก และเมื่อคนธาตุร้อนอย่างฉันถามต่อถึงการเย็นจากภายในก็ได้รับกวีบทหนึ่งสอนใจตน
นั่งมองเงาไม้ไหวในราวป่า นิ่งฟังเสียงมารดาแห่งสรรพสิ่ง งันสดับสรรพเสียงแห่งความจริง พลันทุเลาความเย่อหยิ่งในอัตตา เคยเวียนวนทุรนทุรายคล้ายคลุ้มคลั่ง ปิดตัวเองในภวังค์ - อย่างบอดบ้า อาทิตย์อัสดงแล้วในแววตา ความร้าวรวดปวดปร่าเข่นฆ่าใจ
ดิ้นรนทรมาหาคำตอบ ทอดถอนใจเหนื่อยหอบ- หาตอบได้ ยิ่งวิ่งยิ่งเวียนว่ายอยู่ภายใน ยิ่งอ่อนล้าฆ่าตัวตายในความคิด
พลันวันหนึ่ง วันซึ่งกระจ่างใสภายในจิต เกิดความแจ่มกระจ่างทางห้วงคิด ในเรื่องราวแห่งชีวิตที่ผิดพลั้ง
จากรู้สึกลึกรู้ - สู่รู้สึก จะตื้นลึกจิตล้วนเป็นผู้สั่ง ทุกสิ่งแท้แปรปรวนล้วนอนิจจัง นิ่งคิดขณะฟังเพลงใบไม้
ดับจริตดั่งถูกขโมยวิญญาณ ดับความทรมานอันหมองไหม้ ดับตา ดับกาย ดับใจ หลอมรวมกับใบไม้ที่ร่ายเงา
ทุกสิ่งทุกอย่างในวังวน อยู่ที่คนให้คุณค่าอย่างขลาดเขลา เพียงนิ่งมองใบไม้ไหวในใจเรา ก็บางเบาภาวะหนักแห่งอัตตา
ฉันขับรถเข้าสวนทันทีที่แต่งตัวเสร็จ นึกอยากไปผูกเปลนอนคิดอะไรเล่นๆ ในสวนไผ่ตงของแม่ที่กำลังออกหน่อ ไม่ว่าอุณหภูมิจะขึ้นสูงขนาดไหน สวนไผ่ของแม่ก็ยังคงร่มเย็น นอกจากความร่มและเย็น ยังมีเสียงเพลงใบไผ่อันแสนไพเราะ ที่แม้แต่ดนตรีนิวเอจที่ช่วยบำบัดจิตวิญญาณของคิทาโร่ก็ไม่อาจเทียบได้ในยามนี้ ฤดูผลิตหน่อไม้ ส่งผลให้สปริงเกอร์ปล่อยน้ำทำงานตลอดทั้งวัน ในละอองฝอยของหยดน้ำที่กระจายตัวตามจุดต่างๆ ในสวนไม่เพียงเพิ่มความเย็นให้ผืนดินและอากาศ ยังก่อเกิดท่วงทำนองเพลงอีกบทมาบรรเลงร่วมกับเพลงใบไผ่ยามไหวต้องลม ฉันเอนตัวลงนอนบนเปลผ้าฝ้ายเนื้อหนาอย่างเชื่องช้า ด้วยเข็ดหลาบกับการทิ้งตัวลงนอนอย่างรวดเร็วแล้วเปลพลิกให้ฉันตกลงพื้น แม้ธรรมชาติรอบตัวจะชวนให้รื่นรมย์ แต่ใจที่ทุกข์ร้อนก็ทำให้ฉันวิ่งวนไปมาระหว่างทุกข์เรื่องงานและความรัก กับเรื่องงานฉันยังพอรู้ที่ทางที่เหมาะสมให้ตนยืน หากกับความรักฉันจนใจ หัวใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจนำทางความรักได้ถ้าไร้ซึ่งความรู้ ฉันจึงจำเป็นต้องใช้สมองตรองให้หนักเมื่อคนรักอยากร่วมเดินทางไปด้วยกันอีก การมีใครสักคนคอยดูแลระหว่างเดินทางเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดี แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ฉันขาดความคล่องตัวในการทำงาน ไหนจะสภาพจิตใจที่ยังไม่พร้อมจะดูแลใครอีก ฉันไม่อยากจะบอกเลิกเขาอีกครั้ง แค่ครั้งเดียวนั่นหลังกลับจากการเดินทางอันยาวนานร่วมกัน ดวงตาที่แดงก่ำด้วยความปวดร้าวยังทำให้ฉันรู้สึกผิดจนวันนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อย ฉันปิดเปลือกตาร้าว นอนฟังเสียงเพลงแห่งธรรมชาติแทน ความสงบคืบคลานสู่จิตใจ ธรรมชาติพาฉันไปรู้จักความเงียบที่ทำให้ใจเริ่มนิ่งอย่างแท้จริง เมื่อใจนิ่งฉันสามารถแยกแยะจังหวะเสียงใบไผ่และเสียงน้ำออกจากกันและพบว่า น้ำที่ไหลออกจากสปริงเกอร์มีจังหวะสั้นและยาวสลับกันไป อันน่าจะเกิดจากระบบส่งน้ำของเครื่องปั๊มน้ำที่มีจังหวะในการผ่อนแรงสม่ำเสมอ ในขณะที่ใบไผ่ไม่มีจังหวะในการเริงร่ายที่แน่นอน ด้วยสายลมคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ใบและต้นลู่ไหวตามแรงลม เพลงใบไผ่จึงเป็นบทเพลงที่สนุกกว่าด้วยไม่อาจคาดเดาถึงท่วงทำนอง แต่ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ใบไผ่ แม้บางอย่างที่ควบคุมไม่ได้จะเป็นเช่นดังสายลมโยกไหวคลอนความรู้สึก และเราไม่ควรให้สายลมทุกสายสั่นคลอนใจได้ง่ายๆ นักไม่ใช่หรือ มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราต่างรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมเวลาที่จำเป็นต้องใช้ เรากลับไม่ระลึกรู้ และเรียนรู้ที่จะใช้มันนักก็ไม่รู้!
หมายเหตุท้ายเอนทรี่ : มองเงาไม้ไหวในใจตน* ดัดแปลงจากวรรคแรกบทกวี 'อาทิตย์อัสดงแล้วในแววตา' (ตัวหนังสือสีเขียว) ของพี่บี-เจริญขวัญ แพรกทอง ที่เคยส่งให้อ่านเพื่อสอนโดยไม่เคยสั่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
|