ขวัญสงฆ์
วรรณกรรมดี ๆ
แบบนี้ควรได้รางวัลซีไรซ์
เคยตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่หน้าวัด
และพระกับญาติโยมข้างวัดเก็บมาเลี้ยง บอกเล่าเรื่องราวการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง
ภายใต้การกล่อมเกลาของพระธรรมและพระสงฆ์ในวัด แต่พล็อตเรื่องต้องสะดุดชะงักและเก็บเข้าลิ้นชัก
เลิกใช้ เพราะว่าได้อ่านเจอเรื่องราวของขวัญสงฆ์
เข้าเสียก่อน และพบว่า พล็อตนี้เลิกเขียนไปเลยดีกว่า
เพราะถึงข้าพเจ้าจะเขียนออกมา ก็รู้ฝีมือเลยว่าคงจะไม่ดีเท่าที่คุณชมัยพร
แสงกระจ่าง เขียนเรื่องขวัญสงฆ์เล่มนี้ ตามความรู้สึกที่ได้อ่าน เหมือนได้เห็นเรื่องราวชีวิตของเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นในวัด
จากฉากแรกจนฉากสุดท้ายเป็นฉาก ๆ บางส่วนก็ตรงกับเรื่องราวในชีวิตของข้าพเจ้าเอง ยิ่งซึ้งจนน้ำตาไหล
ได้สัมผัสกับหลวงตาเจ้าอาวาสผู้
เปี่ยมเมตตา อุตส่าห์เก็บเด็กชายผู้ถูกทอดทิ้งตั้งแต่แบเบาะคนหนึ่งมาฝากตาส่งกับยายหนูข้างวัดเลี้ยง
จนพอวิ่งเล่นได้จึงให้เข้ามาอยู่ในวัด คอยอบรมบ่มนิสัย เด็กน้อยซุกซนไปตามประสา ผู้เขียนเดินเรื่องได้ฉับไวไม่เยิ่นเย้อ
รื่นไหลไม่มีสะดุด เหมือนได้ดูภาพยนตร์ฉายผ่านหน้าไปเป็นฉาก ๆ
ตอนหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านในตอนแรกก็ไม่นึกว่าจะมีความพิเศษอะไร
แต่พอเปิดอ่านย่อหน้าแรก กลับวางไม่ลง (บอกตัวเองว่า
เกือบพลาดวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งไปแล้วไหมเล่า )
หนูเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสาร
ไม่มีบ้านไม่มีพ่อไม่มีแม่ ใครคนหนึ่งรำคาญหนูร้องงอแง
จึงเอาหนูวางแบไว้หน้าวัด หลวงตาเดินออกมาหน้ากุฏิ ได้ยินเสียงฉุฉิ-
เหมือนเป็นหวัด แท้เป็นหนูกระแด่วกระแด่วเพราะถูกรัด
หมาจะฟัดแมวจะฟ้อนหนูก่อนใคร...
แค่เปิดเรื่องมาก็พบว่าไม่ธรรมดา
เรื่องนี้เขียนด้วยท่วงทำนองของ บทกวี มีจังหวะจะโคนและทอดเสียง แต่เขียนต่อกันเป็นนิยาย
ไม่จัดวรรคแบบกวี เรียกว่าการเล่าเรื่องที่ผสมผสานได้ลงตัวอย่างมืออาชีพ พออ่านออกเสียงแล้วพบว่าได้อรรถรสวรรณกรรมอย่างมาก
จนต้องอ่านต่อเนื่องให้จบ และหยิบมาอ่านอีกหลายครั้ง
จนต้องตัดสินใจบอกเล่าให้คนอื่นได้หามาอ่านด้วย(มีครูภาษาไทยกับนักเรียน หลงคารมข้าพเจ้าเจ้าจนได้รู้จักกับขวัญสงฆ์ไปหลายคน)
อีกฉากที่เขียนได้ดีมากจนซึ้ง
คือตอนขวัญสงฆ์หายไปหลวงตาและตากับยายตามหากันจนเหนื่อยมาพบ ขวัญสงฆ์ไปแอบนอนกับแม่หมาและกองลูกหมาวัด
...ณ เบื้องหน้าคือใต้ถุนกุฏิเตี้ย
มีจีวรเหลืองเรี่ยกองยับย่น หลวงตานั่งยองยองลงมองคน ตายองก้นลงปรับ ระดับตา
ณ ใต้ถุนแสงมัวสลัวลาง มีร่างเจ้าแสนรักอยู่ตรงหน้า
เจ้านอนหลับสนิทนิ่งนิทรา อกเจ้าไหวไปมายามหายใจ ณ ข้างข้างเจ้านั้นหรือคือแม่หมา
มีลูกเล็กก่ายไปมานับไม่ไหว ต่างหลับกันถ้วนทั่วทุกตัวไป ตาส่งเห็นน้ำไหลใจตื้นตัน…
พอโตขึ้น
เด็กชายขวัญสงฆ์ก็วิ่งเล่นซุนซนอยู่ในวัดจากสามขวบเป็นห้าขวบ และเข้าโรงเรียน
เห็นคนอื่นมาทำบุญที่วัด เห็นครอบครัวอยู่พร้อมหน้า
ก็อดคิดไม่ได้ครอบครัวตนเองอยู่ที่ไหน จนถามหลวงตาหลวงตาก็บอกไม่ได้ บอกได้แค่พบขวัญสงฆ์ถูกทิ้งไว้หน้าวัด
เด็กชายขาดความอบอุ่นของคำว่าครอบครัวและพ่อแม่
จนคิดเพ้อฝันไปว่าตนอาจเป็นลูกเศรษฐีสักคน ที่วันหนึ่งเขาอาจจะมารับกลับบ้าน
แต่ฝันนั้นไม่เคยเป็นจริง
ระหว่างบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของขวัญสงฆ์อยู่นั้น
ก็มีภาพของประกายธรรมสอดแทรกเข้ามาเป็นระยะ ตั้งแต่เริ่มรู้ความ มาเข้าโรงเรียน
จนไปอยู่กับครูสุดาแม่เลี้ยง เป็นภาพสะท้อนสังคมที่เกิดขึ้นจริง ๆ
และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ตาส่งกับยายหนูที่แก่ชราลง
กระท่อมหลังคาโหว่กับภาพชีวิตอันแสนยากจนของยายกับดำ เพื่อนที่โรงเรียนของขวัญสงฆ์
ตาน้อมซึ่งเป็นญาติแท้ ๆ ของครูสุดาที่ต้องอยู่คนเดียวในวัยชรา
โดยไม่มีใครเหลียวแล ในขณะที่งานแต่งงานครูสุดาจัดอย่างใหญ่โตหรูหราฟุ่มเฟือยมีคนเมามายเสียดังวุ่นวาย
จนขวัญสงฆ์สงสัยกับเรื่องราวในชีวิต ทำไมโลกจึงไม่ยุติธรรมกันหนอ
ตาน้อมจึงต้องลำบากคนเดียวตอนแก่ และผิวหนังที่เหี่ยวย่นบอกว่า นับวันหลวงตาจะแก่ชราลง
และวันหนึ่งคงจะจากขวัญสงฆ์ไป เรื่องราวต่าง ๆ
ที่ได้ผ่านพบทำให้เด็กน้อยได้คิดเรื่องราวชีวิต
ตอนเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายเป็นหนุ่มน้อย
ก็ได้ไปอยู่กับครอบครัวของครูสุดาครูสาวที่ยังโสด ยอมอุปการะเลี้ยงดูสอนสั่งขวัญสงฆ์ด้วยความสงสารจนเหมือนแม่กับลูกแท้
ๆ กันเลย แต่พอครูสุดาแต่งงานมีครอบครัวมีลูกของตัวเอง
เห็นภาพเลยครับว่าขวัญสงฆ์ต้องเจอกับมรสุมชีวิตตั้งแต่เริ่มหนุ่มในบ้านของแม่เลี้ยงพ่อเลี้ยง
ระหว่างนั้นก็ยังดีที่ยังมีหลวงตา
มีวัด มีป่าช้า มีกัมมัฏฐานให้แอบไปนั่งภาวนา
หลีกหนีจากความวุ่นวายความทุกข์ยากต่าง ๆ นานาในชีวิตที่พานพบ
ทั้งครูสุดาที่เคยดีแสนดีก็ไม่ใช่คนดีอย่างภาพที่เห็น
พอครูสุดามีลูกของตัวเองเขาต้องให้ความสำคัญกับลูกแท้ ๆ มากกว่าเด็กที่รับมาเลี้ยงแน่นอนอยู่แล้ว
แต่คุณชมัยพรเขียนได้สะเทือนใจ เพราะว่าขวัญสงฆ์ไม่มีครอบครัวไร้ที่พึ่ง ก็หวังพึ่งครูสุดาเหมือนแม่
เมื่อวันหนึ่งความรักที่เขามีให้เปลี่ยนแปลงไปเทให้สามีและลูกที่เกิดใหม่ เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง
ขวัญสงฆ์จะรู้สึกอย่างไร
(นึกถึงชีวิตข้าพเจ้าเองตอนหนุ่มที่เติบโตในบ้านคนอื่นเลยครับ) ไม่ใช่ลูก
แท้ ๆ ของเขา เขาจะเลี้ยงให้ดีได้ยังไง
เริ่มจากห้องที่เคยนอนต้องสละให้น้องที่เกิดใหม่
ส่วนตัวเองย้ายออกไปนอนในครัว
แล้วฉากชีวิตของครอบครัวที่ต้องเลี้ยงเด็กทารกก็ผ่านเข้ามา
ฉากนี้ถ้าใครเคยอยู่ในสถานะเดียวกับขวัญสงฆ์จะพบว่ามันน่าอึดอัดและลำบากใจมาก
...ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปไม่คงที่ แม่สุดาหน้ายู่ยี่ไม่มีสิ้น
เสียงน้องร้องทั้งคืนให้ได้ยิน เสียงพ่อแม่ติฉินกันไปมา
ขวัญต้องย้ายมานอนอยู่ในครัว ก็ลุกขึ้นเนื้อตัวคันหนักหนา มีตัวเลือดริ้นไรคอยบีฑา
ขวัญเป็นแผลทายาไม่ทุเลา…
จะเห็นภาพว่าจากลูกรักที่ครูสุดาเคยดูแล
ตอนนี้ไปทุ่มเทให้กับลูกคนใหม่จนไม่สนใจดูแลลูกเลี้ยงอย่างขวัญ ลูกคนใหม่นอนในห้องสุขสบาย แต่ขวัญต้องมานอนผจญริ้นไรอยู่ในครัวแทน
ระหว่างนั้นยังมีเรื่องราวเรียกน้ำตาอีกเยอะ
เมื่อขวัญต้องทำงานทุกอย่างในบ้านช่วยพ่อแม่เลี้ยงน้อง ซึ่งตัวเองรักราวกับน้องแท้
ๆ ของตัว ต้องรบกวนหาอ่านกันเอาเองไม่อยากสปอยมาก(นี่ก็สปอยมาเยอะแล้วละ
กลัวนักเขียนจะว่าเอาเรื่องไปบอกเขาเสียหมด)
จนมาถึงตอนที่เรียกน้ำตาได้อีกตอนคือตอนที่ครูสุดากับสามีรีบพาลูกคนใหม่
นั่งรถคันใหม่ไปฝากเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล
... เนอสเซอรี่อยู่ไปไกลจากบ้าน เช้าแม่ก็ลนลานเตรียมตัวใหญ่
น้องยิ่งร้องงอแงแง้แง้ไป แม่ยิ่งโกรธเขวี้ยงของใส่เจ้าขวัญน้อย หยิบโน่นนี่ไม่ได้ดังใจแม่ อ้าปากแค่จะบอกกันเสียงนั้นค่อย
แม่ก็หยิกทุบตีจนมีรอย พ่อก็คอยถมทับกำชับตาม
พ่อแม่ไปหมดแล้ว...เจ้าขวัญกล้า ค่อยกินข้าวกับน้ำตาไม่อาจห้าม
แต่งตัวไปคิดไปเหมือนไฟลาม คิดถึงยามอยู่วัดกับหลวงตา...
เรื่องมาลงตัวเมื่อบทที่
๒๘ เกิดเหตุ ทำให้ขวัญต้องออกจากบ้านครูสุดาจนไม่อยากกลับไปอีก
ที่พึ่งสุดท้ายก็คือ หลวงตาที่วัด ตอนนี้เรียกน้ำตาได้อีกแล้วครับ
เมื่อขวัญต้องไปสอบที่โรงเรียนมัธยมแต่แม่สุดาให้ดูแลน้องที่บ้าน ขณะตนเองกับสามีไปธุระข้างนอก
รู้ทั้งรู้ว่าขวัญต้องไปสอบที่โรงเรียนวันนั้น ขวัญเลยพาน้องไปโรงเรียนด้วย ระหว่างสอบนั้นน้องก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่พอรู้ตัวว่าน้องหายไปก็ตามหา
ด้วยความห่วงใยน้องเที่ยวร้องหา ตามหาจนเหนื่อย พบพ่อกับแม่อุ้มน้อง จึงถูกหาว่าไม่ดูแล
ปล่อยให้น้องเกือบถูกรถชนตาย ขวัญถูกตีถูกด่ายกใหญ่เหมือนไม่เคยรักกันมาก่อน
ตอนนี้เขียนได้อารมณ์มากครับ เพราะเขียนด้วยท่วงทำนองของบทกวี เลยกระชากอารมณ์ได้ทุกตอน
ถ้าบอกเล่าแบบนิยายปกติคงไม่ได้อารมณ์มากเท่านี้ แบบแทบจะเห็นเลยว่าที่คุณชมัยพรเคยบอกว่าเขียนไปน้ำตาซึมไปนั้นเป็นอย่างไร
...พ่อตีจนพอใจไม่ฟังขวัญ แม่ด่าจนตัวสั่น
“มึงแสนชั่ว”
ขวัญน้ำตารินไหลใจแสนกลัว ล้มลงนอนใจระรัวตัวระบม
เขาผลักขวัญทิ้งออกไว้นอกบ้าน
ราตรีผ่านทนฝืนแสนขื่นขม ขวัญจับไข้สั่นหนาวร้าวระทม
เจ้าจ่อมจมอยู่ในทุกข์ขุกเข็ญใจ....
นอกจากให้นอนนอกบ้านจนจับไข้แล้วยังมีต่อครับ
ยังกระชากอารมณ์คนอ่านไม่พอ
เมื่อพ่อกับแม่ออกมาตอนเช้าไม่สนใจดูแลอาการขวัญแถมยังไล่ออกจากบ้านด้วย
เช้ารุ่งขึ้นตะวันเยือนมาเตือนขวัญ ให้ลุกขึ้นเร็วพลันพบวันใหม่ ขวัญเจ็บร้าวทั้งตัวทั้งไข้ไอ
เจ้าตั้งใจพบแม่พ่อขอแค่ดี เขาออกมาไม่มองขวัญกันทั้งหมด เจ้าแก้วน้อยพลอยอดสบตาพี่ เขาแบกน้องผ่านไปในนาที
ปล่อยขวัญนี้ยืนงงอยู่ตรงลาน
...พ่อตะโกนก่อนขึ้นรถ “ไปให้พ้น เก็บข้าวของของตนให้พ้นบ้าน
อยู่ต่อไปหนักหนาน่ารำคาญ บ้านนี้ไม่ต้องการ...สันดานเลว”
น้ำตาขวัญคราวไข้ลงไหลพราก มองพ่อแม่ลาจากใจแหลกเหลว
สิ้นรักสิ้นอาลัยสิ้นไฟเปลว ขวัญแสนเลวในสายตาบุพการี
เพราะอยากมีพ่อแม่เหมือนเขาอื่น เพราะอยากจะรักชื่นรื่นเหลือที่
เพราะอยากจะทำอะไรให้ดีดี เพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเป็นทุกข์
ขวัญเก็บผ้าน้ำตาไหลคิดไม่ออก ใจกระฉอกจิตกระเซ็นไม่เป็นสุข
พอคิดได้ต้องไปสอบจึงเร่งรุก ใจกระตุกตัวสั่นร้าวเป็นเช้าร้าย...
ยังไม่พอนะครับเกิดอะไรขึ้นอีกหลังขวัญถูกไล่ออกจากบ้าน
ต้องหาอ่านแล้วครับ ไม่สปอยต่อ แต่อ่านแล้วเข้าถึงอารมณ์เลยครับ
ภาษาวัยรุ่นเรียกว่าเอาอยู่เลยทีเดียว
ยังมีเรื่องราวอีกหลายช่วงที่ขอฝากให้ไปหาอ่านกัน
อย่างความน่ารักของหลวงตาที่เข้าข้างลูกศิษย์ อย่างขวัญสงฆ์
พูดอะไรแต่ละทีชวนให้คิด จับจิตอย่างนิ่งนิ่งเลยทีเดียว อย่า ตอนครูสุดากับครูสมเดชสามีตามมารับขวัญกลับบ้านหลังจากไล่ออกมาแล้ว
หลวงตาจึงเอ่ยนิ่ม ๆ ว่า
…หลวงตายิ้ม ทำหน้าใสเหมือนไม่รู้
บอกว่า “ครู...คงติวให้ได้เต็มที่
จบม.สามคะแนนขวัญมันไม่มี เพราะสอบแต่ละทีมัวเลี้ยงน้อง”…
ไม่ติดใจตรงไหน
ติดใจตรง คำว่า คะแนนขวัญมันไม่มี มองอีกมุมคือ
โยมทำเอาลูกศิษย์ของท่านขวัญหายขวัญกระเจิง ด้วยการไล่ออกจากบ้าน
ท่านพูดน่าคิดนะครับคนฟังถึงกับสะอึกแบบนิ่ม ๆ เลยทีเดียว
จนเมื่อไม่ยอมคืนลูกศิษย์ให้ไปลำบากอีก ก็ให้พิจารณาแนวทางในอนาคต
ตรงนี้งามมากครับ
... “ตาอยากให้เจ้านั้นบวชเรียนต่อ
เรื่องทางโลกมากน้อยเหมือนรอยล้อ มาเกิดก่อมาวนเวียนให้เจียนตาย
ก้าวทางธรรมจำไว้คือทางถูก เจ้าเหมือนลูกพระพุทธสู่จุดหมาย
อีกไม่นานตาจะจากจะพรากตาย อยากให้ขวัญสบายได้ทางทอง”...
แต่ตอนจบนี่สิไม่เล่าไม่ได้
เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตขวัญบีบคั้นจนไม่อยากอยู่ในโลกของฆราวาสแล้ว ขวัญสงฆ์ไปบวชเป็นสามเณรและได้บวชเป็นพระเมื่ออายุครบบวช
ออกธุดงค์จนได้วัตรปฏิบัติอันงดงาม คุณชมัยพรเขียนตอนนี้ไว้งามมากครับ
น่านับถือทีเดียว
...พระขวัญสงฆ์ธุดงค์อยู่หลายปี เป็นพระดีอยู่ป่าเป็นพระป่า
เป็นพระงามยึดมั่นในจรรยาเป็นพระสงฆ์ของสัมมาพระพุทธองค์
พระสงฆ์ดีคือผู้ที่สืบปฏิบัติ คือมีวัตรจริยาต้องประสงค์
ห่มจีวรเหลืองงามอร่ามลง ก็ต้องคงธรรมได้ใต้จีวร ปฏิบัติภาวนาหาธรรมใน
ไม่หลงใหลลาภยศอนุสรณ์ ไม่ติดข้องอวิชชาเฝ้าอาวรณ์ ไม่เร่าร้อนในมายาสารพัน ต้องต่อสู้ในฐานะเป็นมนุษย์
ต้องทำจิตบริสุทธิ์ต้องห้ำหั่น จะมีมารสักเท่าใดไม่สำคัญ
ต้องฝ่าฟันไปให้พ้นอกุศลใด
พระสงฆ์เป็นทายาทพระพุทธเจ้า เป็นผู้มุ่งกล่อมเกลายุคสมัย
พาผู้คนสู่วิมุตติสุดแสนไกล เผยแผ่ธรรมะให้ขจรขจาย
จากเด็กน้อยที่น่ารักตั้งแต่ฉากแรกที่นอนหลับอยู่กับแม่หมา
จนถึงฉากเป็นพระดีให้คนกราบไหว้ด้วยใจศรัทธา เขียนได้งดงามลงตัวมาก เป็นอย่างที่คุณชมัยพรเขียนไว้ในคำนำว่า ตนเองเขียนไปน้ำตาซึมไปเพราะอินกับเรื่องราวของเด็กชายขวัญสงฆ์ ข้าพเจ้าในฐานะคนอ่าน อยากบอกว่า
น้ำตาไหลไปหลายรอบเหมือนกันกว่าจะอ่านจบ จนในใจบอกเลยว่าเล่มนี้ดีกว่า ความสุขของกะทิ (งานเขียนของคุณ อำพรรณ
เวชชาชีวะ)ด้วยซ้ำ ถ้าจะให้รางวัลเล่มนี้ควรได้รางวัลซีไรซ์ และทุกรางวัลสำหรับรางวัลวรรณกรรมเยาวชนในประเทศไทยยุคนี้ แต่พอนึกถึงชื่อของผู้เขียนแล้วรู้เลยว่า
รางวัลซีไรซ์คงไม่มีความหมายสำหรับคุณชมัยพรไปแล้ว เพราะเธอเป็นถึงอดีตกรรมการรางวัลซีไรซ์ ทั้งฝีมือการเขียนของคุณชมัยพรเป็นมืออาชีพที่สร้างสรรค์งานได้อย่างต่อเนื่องจนไม่ต้องอาศัยรางวัลอีกแล้ว
ถ้าจะถามว่าทำไมถึงได้ยกย่องขวัญสงฆ์เสียมากมายปานนี้ ก็ต้องขอบอกว่าเพราะนี่เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่ไม่ใช่ใคร
ๆก็ทำได้ มันลงตัวและพิเศษมาก ๆ เนื้อเรื่องดำเนินไปด้วยท่วงทำนองแบบกวี ถ้าอ่านออกเสียงจะได้อรรถรสของเรื่องราวและจังหวะที่ตรึงใจผู้อ่านอย่างมาก
บางช่วงของอารมณ์นิยายธรรมดาทำไมได้ ตรึงอารมณ์ไม่อยู่ แต่ด้วยท่วงทำนองแบบกวีจึงโดนใจเต็ม
ๆ น่าจะมีการพูดถึงในวงกว้างและสนับสนุนให้มีการอ่านอย่างกว้างขวาง กล้าพูดว่าเป็นวรรณกรรมไทยอีกชิ้นที่แนะนำให้ใคร
ๆ อ่านได้ ไม่ผิดหวัง
ทั้งการเล่าเรื่องก็แฝงธัมมะไว้อย่างแยบยลในหลาย
ๆ ช่างสมกับที่คุณชมัยพรเคยบอกไว้ว่าเรื่องนี้ถอดหัวใจเขียน ข้าพเจ้าก็ถอดหัวใจอ่านเหมือนกัน กล้าบอกเลยว่าไม่มีวรรณกรรมเยาวชนเรื่องไหนเรียกน้ำตาข้าพเจ้าได้มากเท่าเรื่องนี้
สุดท้ายมาโดนใจตรงกวีท้ายบทนี่แหละ
เมื่อจะเกิดเลือกไม่ได้มิใช่หรือ
แต่เกิดแล้วนั่นคือต้องสานต่อ
หากเลือกทำเลือกเป็นเห็นเพียงพอ
กรรมย่อมก่อกรรมให้ได้กรรมดี
เมื่อจะเป็นเลือกได้มิใช่หรือ
มีสองมือสรรค์สร้างไปให้เต็มที่
เมื่อเลือกเป็นแล้วเป็นเต็มชีวี
ทุกนาทีคือชีวิตลิขิตคน
ใครมิได้อ่านบอกเลยว่าน่าเสียดาย
อย่าแปลกใจถ้าต้นฉบับนี้
เปื้อนหยดน้ำตา เพราะข้าพเจ้าก็น้ำตาไหลปลื้มประทับใจกับขวัญสงฆ์วรรณกรรมสร้างสรรค์ชิ้นนี้เช่นกัน
|