หน้าม้าน
โดย
“ศ. กาญจนา”
เรื่องนี้ขอเล่าแถมให้ฟังในลักษณะรายงานกลายๆ ไม่เสริมแต่งอะไร ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องที่ต้องเอ่ยถึงครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่บังเอิญผมได้เรียนหนังสือเป็นลูกศิษย์ท่านสมัยยังเรียนจุฬาฯมื่อนานมาแล้ว
เมื่อทราบว่า ท่านกำลังจะมา “สปีช”ในงานสำคัญ ที่มีแขกเหรื่อชาวต่างประเทศมากหน้าหลายตา จะมีคนไทยไปร่วมงานไม่สู้จะมากนัก แต่จะมีฝรั่งเต็มไปหมด งานนี้จัดในนิวยอร์ค ประมาณปี ค.ศ. 1971 เห็นจะได้ จัดโดยสถานทูตไทยในสหรัฐอเมริกา อาจารย์ที่ผมเคารพมากคนนั้นเป็นผู้บรรยาย ในหัวข้อเกี่ยวกับคนจีนในเมืองไทย ผมเองตามประสาศิษย์ที่เห่อๆอาจารย์ ตัดสินใจไปงานทันทีพร้อมกับชวนเพื่อนรุ่นน้องไปด้วยสองสามคน
เราได้ฟังอาจารย์บรรยายที่“โพเดี้ยม”บนเวที ถึงปัญหาเชื้อชาติที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ บางครั้งบางแห่งรุนแรงถึงกับเกิดจลาจล แม้กระทั่งประเทศอเมริกาเองก็ยังคงมีปัญหานี้อยู่ในหลายท้องที่ บรรดาพวกประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา มักจะเลี่ยงปัญหานี้ไม่พ้น มันถึงมีคำว่า“ไมนอริตี้” เกิดขึ้น คนจีนหรือคนเชื้อสายจีนตามประเทศต่างๆทั่วโลก ต่างก็โดนกระทบกันมากบ้างน้อยบ้าง มีทั้งดีทั้งเลวบ้างปะปนกันไป ตัวผู้พูดเองในฐานะพลเมืองของประเทศไทย ประเทศที่มีคนจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงน่าจะมีปัญหาเชื้อชาติเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แต่ประเทศไทยกลับไม่มีปัญหานี้เลย ขอยืนยันว่าเราไม่มีปัญหานี้จริงๆ ด้วยคนเชื้อสายจีนในเมืองไทยนั้น ทุกคนมีความรู้สึกเป็นคนไทยเต็มร้อย มีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน มีความหวงแหนในแผ่นดินด้วยกัน ทุกคนมีความรักความหวังดีต่อประเทศชาติโดยไม่มีความแตกต่าง ยกเว้นแต่เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีเท่านั้น ที่ยังคงแตกต่างแต่ก็เป็นความแตกต่างอันสุนทรี
ประเทศไทยเราจึงมีการฉลองตรุษจีน ตรุษไทย และตรุษฝรั่ง ที่ทุกเชื้อชาติร่วมเฉลิมฉลองกันเป็นประจำทุกปี เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีประเทศใดเหมือน วันนั้นคนฟังทั้งห้องประชุมต่างก็ชื่นชมใน “สปีช” ของท่านอาจารย์กันเกือบทุกคน
เมื่อถึงตอนเปิดโอกาสให้มีการถามตอบ มีฝรั่งสามสี่คนถามปัญหาที่พวกตนมีข้อสงสัย อาจารย์ก็ตอบได้ฉะฉานชัดเจน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและคำพูดคมคาย จากนั้นมีคนไทยคนหนึ่งเสียงดังฟังชัด ลุกขึ้นถามปัญหาทะลุกลางปล้องขึ้นมาด้วยข้อความที่แปลก ไม่เกี่ยวกับสปีชหรือเนื้อหาของปาฐกถาในวันนั้นเลย ถามองค์ปาฐกว่า ทำไมเมืองไทยถึงตามต้องตามก้นอเมริกามาตลอด แกขึ้นเสียงดังสนั่นแบบมีน้ำโหเสียด้วย และข้อสำคัญเสียงและสำเนียงของแกมันแปร่ง เหมือนเจ๊กพูดไทยในการแสดงจำอวดตามงานวัด ยังไงก็ยังงั้น ฝรั่งข้างๆผมอมยิ้มส่ายหน้า และแอบชำเลืองมาที่กะเหรี่ยงอย่างผมสองสามหน
ผมรู้สึกว่า คนไทยทุกคนที่มาร่วมฟังอาจารย์สปีชที่นิวยอร์ควันนั้น ต่างก็หน้าแตกดังเปรี๊ยะพร้อมๆกัน
ที่อยู่ดีๆ ก็มีคนไทยเพี้ยนๆคนหนึ่งโวยวายเอ็ดตะโรนอกประเด็น ผิดทั้งกาละและเทศะ ผมหน้าชาหูอื้อไปหมด จำไม่ได้ว่าอาจารย์ตอบว่าอย่างไร แต่จำได้ว่าอาจารย์ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา ทั้งๆที่ถูกเจ้าหมอนั่นไล่บี้ฉอดๆออกทะเลแบบมวยวัด ท่าทางเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ในที่สุดวันนั้นสุนทรพจน์ก็จบลงจนได้ และสุดท้ายพวกฝรั่งก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปรบมือ
วันนั้นอาจารย์ลงจากเวทีเดินผ่านผมไม่ถึงวา ผมตั้งใจจะดักพบไปทักอาจารย์เลยไม่กล้า ด้วยบรรยากาศชื่นมื่นในตอนต้นมลายหายหมด ผมขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อของอาจารย์ในการเล่าวันนี้นะครับ เมื่อวันก่อนยังเห็นอาจารย์ออกโทรทัศน์ดูแก่ไปเป็นกอง แต่อาจารย์ครับ เหตุการณ์วันนั้นอาจารย์จะรู้ตัวหรือเปล่าน้อ ว่าอย่างน้อยมีตัวอาจารย์เองกับลูกศิษย์อีกคนที่ หน้าม้านหน้าชาพอๆกันเลย
___________________________________________
|