. จากวาทกรรม "ตายายเก็บเห็ดแล้วติดคุก" ถูกนำมาขยายผลทางสื่อมวลชนและสื่อออนไลน์หลังจาก นายอุดม และ นางแดง ศิริสอน สองสามีภรรยา บ้านโนนสะอาด อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าดงระแนง โดยอ้างว่า สองตายายแค่มาเก็บเห็ด แต่ถูกจับกุมข้อหาบุกรุกป่า เพื่อกระทบกระเทียบกับกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งท้ายที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาออกมาแล้วในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3581/2554 หมายเลขแดงที่ 3508/2554 ที่พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนายอุดม ศิริสอน และนางแดง ศิริสอน (ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองอายุ 47 และ 44 ปี) เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์
ย้อนรอยเหตุการณ์
. เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 เวลากลางวัน นายอุดม และ นางแดง ศิริสอน สองสามีภรรยา บ้านโนนสะอาด อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ถูกกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์โดยการทำไม้ในป่าดงระแนง ตำบลคลองขาม อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ในแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติและใช้อุปกรณ์เครื่องมือ ตัดและโค่นไม้สัก ไม้กระยาเลย ที่เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก ออกจากต้นจำนวน 700 ต้นในเขตดังกล่าว โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และมิได้รับสัมปทานหรือได้รับยกเว้นใดๆ ตามกฎหมาย รวมทั้งร่วมกันมีไม้สัก และไม้กระยาเลย ที่ยังไม่ได้แปรรูป จำนวน 1,148 ท่อน โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย ไว้ในครอบครอง และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ . คดีดังกล่าว พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2554 จำคุกคนละ 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 15 ปี ริบของกลางทั้งหมด กับให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสอง ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เข้าไปครอบครองด้วย . ต่อมา จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2555 พิพากษาแก้เป็น ความผิดฐานร่วมกันบุกรุก แผ้วถาง ก่อสร้าง ทำไม้ ยึดถือครอบครอง หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการกระทำให้เสื่อมสภาพป่าสงวนแห่งชาติเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 11 ปี และฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้อันยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 19 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานร่วมกันทำไม้คงจำคุกคนละ 5 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกคนละ 9 ปี 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 14 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
วาทกรรม สองตายายเก็บเห็ดแล้วติดคุก
. จากนั้นคดีนี้ ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมจากหลายหน่วยงานและได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน เป็นที่มาของวาทกรรม "ตายายเก็บเห็ดแล้วติดคุก" ถูกนำมาขยายผลทางสื่อมวลชนและสื่อออนไลน์
. ด้านทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ได้โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2560 เวลา 10.55 น. ว่า ....เรื่องคดีสองตายายเก็บเห็ดที่กาฬสินธุ์เกิดขึ้นเมื่อปี 2553 โดยนายอุดมและนางแดง ศิริสอน สองสามี ได้เข้าไปเก็บเห็ดและหาของป่ามาเลี้ยงชีพเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งเขาไปเก็บเห็ดและหาของป่าได้นำรถจักรยาน ยนต์จอดไว้ในป่าครั้นต่อมาเจ้าหน้าที่พบรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้ในป่าจึงนำรถจยย.คันดังกล่าวมากล่าวหาว่านายอุดมและนางแดง เป็นผู้บุกรุกและลักลอบตัดไม้ทำลายป่า จำนวน 72 ไร่! เจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนายอุดมและนางแดง ศิริสอนที่สถานีตำรวจภูธรยางตลาดโดยมีนายอำเภอท้องที่ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน! . (ครั้งแรก) ตำรวจท้องที่เชิญตัวนายอุดมและนางแดง ศิริสอนมาให้ปากคำสดๆ2คนตามลำพังไม่มีทนายความและไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นและคำให้การของนายอุดมและนางแดง ศิริสอนในชั้นพนักงานสอบสวนได้ปรากฏในคำให้การชัดแจ้งว่าสองคนนี้เป็นผู้เข้าไปเก็บเห็ดและหาของป่าดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงปล่อยตัวชั่วคราวไปโดยไม่มีประกันแต่อย่างใด . (ครั้งที่สอง) ตำรวจท้องที่ออกหมายเรียกเชิญตัวนายอุดมและนางแดงมารับทราบข้อกล่าวหาฐาน "ความผิดบุกรุก,ก่นถ่าง, แผ้วถางและลักลอบตัดไม้ จำนวน 72 ไร่" โดยสองสามีภรรยาให้การสดๆและให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาทั้งไม่มีทนายความหรือผู้ร่วมรับฟังการสอบสวนแต่อย่างใดและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีประกัน หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ในขณะนั้นเป็นนายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานปกครองและสรุปสำนวนความเห็นเสนอพนักงานอัยการในการเห็นควร"สั่งฟ้อง"นายอุดมและนางแดง ศิริสอน . ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดนำตัวนายอุดมและนางแดงฯส่งตัวฟ้องต่อศาล ในวันที่พนักงานอัยการในการนำตัวนายอุดมและนางแดงฯ ส่งฟ้องต่อศาลนั้นได้มีตีนโรงตีนศาลประจำหมู่บ้านของตนได้จดแจ้งว่าให้แก่ทั้งสองรับสารภาพไปเถอะเรื่องจะได้จบๆเพราะ เข้าไปเก็บเห็ดและหาของป่านั้นเป็นความผิดเล็กน้อย นายอุดมและนางแดงจึงหลงเชื่อคำกล่าวอ้างดังกล่าวของตีนโรงตีนศาลนั้นเป็นความจริงว่าเขา 2 คนถูกฟ้องเรื่องเข้าไปเก็บหาและของป่า แต่ความเป็นจริงแล้ว เขาสองคนถูกฟ้องเรื่องในความผิดฐาน "ร่วมกันบุกรุก,ก่นถ่าง,แผ้วถางและลักลอบตัดไม้หวงห้ามจำนวน 72 ไร่" . ดังนั้นในวันนำตัวทั้งสองยื่นฟ้องต่อศาลนั้นนายอุดมและนางแดง ศิริสอนนั้นมีสภาพกายคือหูตึงและมีอาการผิดปกติในการรับฟังจึงเข้าใจว่า "ถูกดำเนินคดีในข้อหาเก็บเห็ดและหาของป่า" จึงไม่ประสงค์แต่งตั้งทนายและพยักหน้ารับ"คับ"สารภาพตามฟ้อง . ศาลจึงมีคำพิพากษาจำคุก30ปีแต่รับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งนึงคงจำคุกคนละ15 ปีโดยจำเลยทั้งสองได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ . ครั้นต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกาเนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง นายอุดมและนางแดงจำเลยทั้งสองต้องเข้าเรือนจำจังหวัด นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ . หลานสาวของนายอุดมและนางแดงร้องทุกข์ไปยังกรรมการสิทธิมนุษยชนและร้องไปยังสื่อมวลชนทุกๆแขนง หนึ่งในนั้นคือ คุณจอยหรือ จตุรงค์ สุขเอียด โดยคุณจอยได้หอบสำนวนทั้งหมดมาหาตนด้วยใจจดใจจ่อโดยหมายให้ไปช่วยนายอุดมแลนางแดงที่ถูกคุมขังในเรือนจำจังหวัด กว่า 4 ปีที่ตนรับเรื่องราวต่อจานี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เหนื่อยอย่าง 100,000 สาหัส และ อุปสรรคนานัปการที่ไม่อาจบรรยายได้หมด ณ ที่แห่งนี้ ตนและคณะทำงานพร้อมคุณจอยหรือจตุรงค์ สุขเอียด เข้าไปตีตั๋วเข้าเยี่ยมจำเลยทั้งสองคือนายอุดมและนางแดงฯที่เรือนจำจังหวัดและได้มายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกาที่ศาลชั้นต้น ปรากฏว่าศาลยกคำร้องเนื่องจากเกรงว่าคดีนี้มีอัตราโทษสูงและเกรงว่าจำเลยทั้งสองจะหลบหนี แต่ถึงกระนั้นตนก็ยังไม่ละความพยายามในการช่วยเหลือนายอุดมและนางแดงฯใครได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา โดยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นในการขอให้ศาลสูงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานของผู้ร้องประกอบการพิจารณาในการขอปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลยทั้งสองได้ขอไต่สวนพยานทั้งหมดดังนี้ 1. พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี, 2.พนักงานอัยการ, 3เจ้าหน้าทีป่าไม้, 4.แพทย์ผู้รักษานายอุดม,และ 5 ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัด เพื่อประกอบการพิจารณาของศาลสูงและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม(ศาลสูงอนุญาต) ศาลชั้นต้นไต่สวนตามคำสั่งของศาลสูงแล้วส่งสำนวนกลับไปยังศาลสูงเพื่อโปรดพิจารณา ศาลสูงพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเฉพาะจำเลยที 1ระหว่างพิจารณาคดีได้แต่ต้องมีหลักประกันโดยนายอุดมให้ญาติๆมาประกันตัวให้ส่วนนางแดงไม่อนุญาต หลังจากนั้นตนยื่นประกันตัวจำเลยที่สองใหม่อีกครั้งปรากฏว่าศาลสูงอนุญาตแต่ต้องมีหลักประกันเช่นเดียวกันกับนายอุดม . ครั้งต่อมาศาลสูงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งให้สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดทำการรายงานการสืบเสาะและพินิจเกี่ยวกับประวัติต่างๆของนายอุดมและนางแดงฯแล้วส่งกลับไปยังศาลสูงโดยเร็วเพื่อประกอบการพิจารณา และแล้วศาลสูงได้ส่งคำพิพากษามาให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้นายอุดม ศิริสอน จำเลยที 1 และนางแดง ศิริสอน จำเลยที่ 2 ฟังโดยศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เวลา09.00 น. จำเลยทั้งสองพร้อมน้อมรับคำพิพากษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ทนายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์กับสองผัวเมียจำเลยในคดี
ศาลฎีกาพิพากษา
. จนกระทั่ง ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ที่ 446/2560 ตามที่จำเลย ประกอบด้วย นายอุดม ศิริสอน จำเลยที่ 1 และนางแดง ศิริสอน จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคัดค้าน ต่อความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ , ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวน ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ใน 3 ประเด็นสำคัญ 1.โดยอ้างว่าจำเลยหลงเชื่อบุคคลภายนอกให้รับสารภาพ และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตนเองเคยประสบอุบัติเหตุ มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดีพูดจากรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง 2.การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ 3.ประการสุดท้ายฎีกาของให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
. หลังจากศาลวินิจฉัยตามฎีกา กรณี อ้างว่าจำเลยหลงเชื่อบุคคลภายนอกให้รับสารภาพแล้วศาลจะปรับจำเลยทั้งสอง และจำเลยที่ 1 อ้างว่าเคยประสบอุบัติเหตุโดยถูกรถยนต์ชนสลบไปประมาณ 2 – 3 วัน โดยอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยทั้งสองจะถูกดำเนินคดีนี้ หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุแล้ว จำเลยที่ 1 มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดีพูดจารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนั้น จำเลยที่ 1 ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากนั้นได้มารักษาตัวที่คลินิกหมอเปตรง เขียนแม้น แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังอาการไม่ดีขึ้นมีอาการงงๆ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง การที่ศาลชั้นต้นถามจำเลยทั้งสองว่าได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่ค่อยจะได้ยิน ศาลถามหลายครั้งจำเลยที่ 1 ก็ก้มหัวเท่านั้น ศาลก็เลยบอกว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพ แล้วศาลถามคำให้การของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็บอกว่าให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้สมัครใจให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณานั้น . เห็นว่าข้ออ้างอาการป่ายของจำเลยที่ 1 ตามฎีกาเป็นการกล่าวอ้างเพิ่มขึ้นในชั้นฎีกาแตกต่างกับข้ออ้างในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่อ้างเพียงว่า มีคนบอกจำเลยทั้งสองให้รับสารภาพเสียค่าปรับแล้วกลับบ้านได้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ แต่ถึงอย่างไรจำเลยทั้งสองก็ยอมรับว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของศาลขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ นอกจากนี้อาการป่วยของจำเลยที่ 1 ตามข้ออ้างในฎีกายังขัดแย้งกับใบรับรองแพทย์ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์และใบสรุปการรักษาพยาบาลจำเลยที่ 1 ของนายแพทย์เปตรง ฉบับลงวันที่ 15พฤศจิกายน 2556 ระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ป่วยในระหว่างวันที่ 3 -10 ตุลาคม 2554 ด้วยประวัติเกิดอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์ชนกับรถจักรยานยนต์ ประมาณ 1 วันก่อนมาถึงโรงพยาบาล มีอาการสลบชั่วคราว หลังจากฟื้นมีอาการปวดศรีษะและเวียนศรีษะได้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองพบว่ามีเลือดออกในสมอง กะโหลกศีรษะร้าว มีลมรั่วเข้าไปในสมอง ได้นอนรักษาพยาบาลจนอาการดีขึ้นพอสมควรจึงจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2554 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1มีอาการปวดและเวียนศีรษะเป็นบางครั้ง ซึ่งอาการเจ็บป่วยดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ 26 กันยายน 2554 ที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น และได้ความว่า จำเลยทั้งสองเข้ามอบตัววันที่ 27 พฤศจิกายน 2553 ทั้งตามรายงานและการสืบเสาะและพินิจจำเลยที่ 1 ในชั้นฎีกาก็ไม่ปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกดำเนินคดีนี้ในปี 2553 จำเลยที่ 1 เคยประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนจนสลบไป 2 ถึง 3 วันแต่ประการใด คงมีแต่อุบัติเหตุช่วงเดือนตุลาคม 2554 เท่านั้น ดังนี้ ส่อแสดงว่าจำเลยทั้งสองพยายามปรุงแต่งข้ออ้างอาการป่วยเจ็บของจำเลยที่ 1 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยบิดเบือนไปให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพด้วยความไม่สมัครใจ แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรื่องที่จำเลยทั้งสองอ้างมานั้นขัดแย้งกันเองทั้งสิ้น จึงเป็นพิรุธรับฟังเป็นความจริงไม่ได้
. ประกอบกับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนการพิจารณาและคำให้การของจำเลยทั้งสองที่ศาลชั้นต้นสอบและบันทึกไว้ลงวันที่ 26 กันยายน 2554 ได้กระทำโดยเปิดเผยปรากฏข้อความระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการและจำเลยทั้งสองก็ลงลายมือชื่อไว้ด้วย เมื่อพิจารณาไม่ปรากฏว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองไม่สมัครใจแต่อย่างใด และเป็นความเข้าใจผิดของจำเลยทั้งสองเองไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้ได้ ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าข้ออ้างของจำเลยทั้งสองเป็นพิรุธรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ คดีจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองสมัครใจรับสารภาพในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว เมื่อคดีนี้ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป การที่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ศาลย่อมพิพากษาโดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
. ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปว่า การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ การสอบสวนจึงไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่าตามสำเนาบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาปรากฏว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาตามฟ้องให้จำเลยทั้งสองทราบโดยครบถ้วนและได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดแล้ว เพียงแต่ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำมากเท่ากับที่บรรยายในคำฟ้องเท่านั้น ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ให้การปฏิเสธอันแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อกล่าวหาเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วการสอบสวนจึงชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
. ส่วนประการสุดท้ายฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ตามรายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสอง สำนวนการสอบสวนที่ศาลฎีกาเรียกมาจากโจทก์เพื่อประกอบการพิจารณาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุคณะเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าร่วมกันออกตรวจปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พบกลุ่มบุคคล 3-4 คน กำลังช่วยกันตัดไม้ใช้มีดแผ้วถางขนาดเล็กและตัดโค่นไม้สักล้มลงจำนวนมาก เมื่อพบเจ้าหน้าที่จึงได้วิ่งหนี ปรากฏหลักฐานการตัดไม้เป็นแปลงปลูกไม้สวนป่า ปี 2527,2531,2532,2536 มีการตัดโค่นไม้สักและไม้กระยาเลย ขนาดประมาณ 30-90 ซม. อายุประมาณ 15-20 ปี เป็นการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันเป็นขบวนการลักลอบตัดไม้ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง
. โดยจำเลยทั้งสองร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดังกล่าว ตามพฤติกรรมแห่งคดีเชื่อได้ว่าบุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง และยังมีการติดตามเพื่อขยายผล คงมีแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปและสมัครใจรับสารภาพตามฟ้อง กรณีมีเหตุผลสมควรให้กำหนดโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองให้น้อยลงเพื่อให้เหมาะแก่รูปคดี แต่ตามพฤติการณ์กระทำความผิดของจำเลยทั้งสองส่งผลกระทบต่อสภาพความสมดุลของระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยากแก่การฟื้นฟูให้กลับมาคืนดีดังเดิน ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน . อนึ่งระหว่างพิจาณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย
. พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 6 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอบคนละ 5 ปี จากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
ข้อชี้แจงเกี่ยวกับคดี
. นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวาทกรรมตายายเก็บเห็ด และความเหลื่อมล้ำที่คนจนต้องโดนลงโทษติดคุกว่า สำหรับคดีนี้ ศาลพิพากษาคดีโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสถานะของบุคคลว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย แต่พิพากษาไปตามพยานหลักฐานที่กระทำความผิด ฉะนั้น เรื่องความรวยหรือจน ไม่ได้มีผลต่อคำวินิจฉัยพิพากษาของศาล จึงเป็นเรื่องที่สาธารณชน จะต้องทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทั้ง 2 ที่กระทำความผิดนั้น มีอายุ 48 ปี (ไม่ใช่ตาย-ยาย ซึ่งหมายถึงผู้สูงอายุ – 60 ปีขึ้นไป) และที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลย เนื่องจากจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพต่อหน้าศาล ซึ่งตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ความผิดที่ฟ้องแต่ละข้อหา มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพแล้วศาลก็สามารถพิจารณาพิพากษาลงโทษได้ โดยไม่ต้องสืบพยาน ซึ่งกรณีความผิดในคดีนี้ ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตราดังกล่าว
. ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลมีเมตตาลดโทษให้เป็นหนึ่งในสาม แต่คดีนี้คงจะรื้อฟื้นใหม่ เนื่องจากมั่นใจในพยานหลักฐาน เพราะต้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งก็จะมีการรื้อฟื้นคดีต่อไป ส่วนรายละเอียดที่นำมารื้อฟื้นคดีใหม่เป็นอย่างไรนั้นจะมาอธิบายให้ฟังในวันที่มายื่นรื้อฟื้นคดี ยืนยันว่าจะเป็นหลักฐานใหม่โดยเฉพาะพยานบุคคล
ผู้จัดการออนไลน์ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่าจากวาทกรรม "ตายายเก็บเห็ดแล้วติดคุก" ถูกนำมาขยายผลหลังจาก นางอุดม และ นางแดง ศิริสอน สองสามีภรรยา บ้านโนนสะอาด อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าดงระแนง โดยอ้างว่า สองตายายแค่มาเก็บเห็ด แต่ถูกจับกุมข้อหาบุกรุกป่า เพื่อกระทบกระเทียบกับกระบวนการยุติธรรมไทย ความจริงอีกด้านของเรื่องนี้ คือ
ขอขอบคุณ ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/928674 คม ชัด ลึก http://www.komchadluek.net/news/regional/274776 กระทรวงยุติธรรม file:///D:/download/C-170503014049%20(1).pdf ผู้จัดการออนไลน์ http://www.manager.co.th/HotShare/ViewNews.aspx?NewsID=9600000044482 และ http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9600000044213 |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | พฤษภาคม 2017 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 |