*/
10 สถาปัตย์อัศจรรย์แดนมังกร | ||
![]() |
||
สถาปัตยกรรมต่างๆของแดนมังกร ที่จะทำให้โลกตะลึง |
||
View All ![]() |
<< | เมษายน 2007 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |
เนื่องจากว่าได้แวะไปเยี่ยมเยียน blog ของคุณ ลูกบัว แล้วเกิดติดใจภาพของเกี๊ยวที่คุณลูกบัวได้เก็บภาพมาฝาก และผมเป็นคนที่ชอบกินเกี๊ยวอยู่แล้ว จึงได้โอกาสนำประวัติ ความเป็นมาของเกี๊ยวมาฝากกันครับ ก่อนอื่นเพื่อป้องกันความสับสน ผมต้องอธิบายความแตกต่างระหว่างคำว่า เจี่ยวจึ 饺子กับคำว่า หุนถุน(馄饨)เสียก่อน เพราะสองคำนี้ภาษาไทยเรียกเหมารวมกันเป็นคำว่า เกี๊ยว
จากรูป เจี่ยวจึ คือ เกี๊ยวสีขาว หุนถุน คือ เกี๊ยวสีเหลือง เจี่ยวจึ 饺子 คือ เกี๊ยวจีนแบบดั้งเดิม ซึ่งมีเปลือกนอกเป็นสีขาว ลูกใหญ่ และหากเป็นเกี๊ยวต้ม เวลาเสิร์ฟมักไม่ได้ปรุงด้วยน้ำซุป มีแค่น้ำร้อนๆช่วยรักษาอุณหภูมิของตัวเกี๊ยวเท่านั้น และวิธีอื่นที่นิยมไม่แพ้กันคือ เกี๊ยวนึ่ง และเกี๊ยวทอด (เกี๊ยวซ่าแบบญี่ปุ่นก็คือหุนถุนแบบทอดนี่เอง) หุนถุน 馄饨 คือเกี๊ยวจีนที่ถูกพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง หากจะอธิบายให้เห็นภาพก็ลองนึกถึง เกี๊ยวลูกสีเหลืองๆ ลูกเล็กพอดีคำ ทานพร้อมน้ำซุปร้อนๆ สไตล์กวางตุ้งนั่นเอง อย่างบะหมี่เกี๊ยวเป็ดที่กลายมาเป็นอาหารยอดฮิตในเมืองไทยความจริงแล้วก็คือ หุนถุน 馄饨 นี่เอง ภาษาอังกฤษเรียกทับศัพท์จากภาษากวางตุ้งว่า หวั่นทัน (wanton) อาหารที่เรียกว่า เจี่ยวจึ 饺子(เกี๊ยวจีนแบบดั้งเดิม) มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นแล้ว และในบันทึกสมัยฮั่นนั้นคำว่า หุนถุน 馄饨 นั้น ถูกระบุว่าเป็นคำแสลง และถือว่าความจริงก็คือ เจี่ยวจึชนิดหนึ่ง จนมาในราชวงค์ถังนี่เอง ที่อาหารประเภท หุนถุน ได้รับความนิยมอย่างมากในทางใต้ของจีนและมีการสร้างตัวอักษรคำว่า หุนถุน 馄饨 ขึ้นใหม่โดยบัญญัติเป็นคำที่ถูกต้องตามศัพทานุกรมสมัยถัง นับแต่นั้นมา หุนถุน กับ เจี่ยวจึ ก็ถูกจำแนกเป็นอาหารคนละชนิดโดยสมบูรณ์ ช่วงเทศกาลตรุษจีน ในประเทศจีนผู้คนนิยมรับประทานเกี๊ยวกัน เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต เกี๊ยวเป้นอาหารที่ใช้อวยพรให้มีอายุที่ยืนนาน จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วไป และได้ตกทอดมาถึงผู้คนในยุคปัจจุบัน ประวัติของเกี๊ยว 饺子(เจี่ยวจึ) 饺子(เจี่ยวจึ) ในปัจจุบัน เดิมเรียกว่า 娇耳 (เจียวเอ่อ)แปลเป็นไทยว่า "หูอ่อน" โดยแพทย์ที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น(ก่อนยุคสามก๊กเล็กน้อย)ผู้หนึ่ง นามว่า "จางจ้งจิ่ง" 张仲景 เป็นผู้คิดค้นขึ้น ในสมัยนั้นภัยพิบัติเกิดขึ้น ราษฎรเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า คนจำนวนมากป่วยเป็นโรค และที่เมืองหนานหยาง ได้มีแพทย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งนามว่า "จางจ้งจิ่ง" เป็นหมอที่มีความสามารถสูง ไม่ว่าโรคอะไรที่รักษายากๆสมัยนั้น หมอผู้นี้รักษาได้หมด และยังเป็นหมอที่มีคุณธรรมสูงส่งอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย เขาก็ทำการรักษาอย่างจริงใจ ไม่มีการแบ่งแยก คนไข้ที่เขาช่วยชีวิตไว้มีจำนวนนับไม่ถ้วน ตอนที่เขารับราชการอยู่ที่เมืองฉางซา ก็มักจะรักษาโรคให้กับประชาชนอยู่เสมอ มีอยู่วันหนึ่งเกิดโรคห่าระบาด เขาได้ตั้งหม้อปรุงยาขนาดใหญ่ไว้หน้าที่ว่าการ เพื่อคอยช่วยเหลือชาวบ้าน เขาจึงเป็นที่เคารพรักของประชาชนเป็นอย่างมาก ต่อมา จาจ้งจิ่งขอเกษียณตัวเองเพื่อกลับไปบ้านเกิด ระหว่างที่เดินทางไปที่บ้านบริเวณริมฝั่งแม่น้ำไป๋เหอ ได้เห็นคนยากจนจำนวนมากทนหนาวและทนหิวอยู่ ใบหูของพวกเขาเปื่อยเนื่องจากอากาศหนาวมาก จางจ้งจิ่งรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก จึงตัดสินใจที่จะรักษาคนเหล่านั้น พอเขาถึงบ้านเขาก็เตรียมสิ่งของที่จะทำการรักษาโดยไม่ได้หยุดพัก ภายในใจคิดถึงผู้คนเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา เขาได้ใช้วิธีเหมือนอย่างที่อยู่ในฉางซา สั่งให้ลูกศิษย์สร้างโรงหมอขึ้นในพื้นที่นั้นทันที และตั้งหม้อยารักษาที่นั่น ชื่อยาของจางจ้งจิ่งมีชื่อเรียกว่า "น้ำแกงหูอ่อนขับหนาว" วิธีทำก็คือใช้เนื้อแกะ พริก และยาขับหนาวที่เขาคิดขึ้นเองนำไปต้มในหม้อ หลังจากต้มเสร็จ ก็นำของเหล่านั้นมาหั่นจนละเอียด ใช้แป้งห่อให้มีลักษณะเหมือนใบหู(คงจะเป็นการแก้เคล็ด)แล้วนำไปต้มจนสุก แบ่งให้กับผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยได้หูอ่อน 2อันอ่อนและน้ำแกง 1 ชาม กินเข้าไปจะรู้สึกร้อนไปทั้งตัว เลือดหมุนเวียนไม่ติดขัด หูสองข้างก็เริ่มอุ่น กินอย่างนี้ไปซักระยะหนึ่ง ใบหูที่เปื่อยเริ่มดีขึ้น จางจ่งจิ้งให้ทานยาติดต่อกันไปจนถึงวันตรุษจีน ผู้คนฉลองวันตรุษจีนและฉลองที่หูหายเป็นปกติ ด้วยการทำอาหารให้มีลักษณะคล้ายกับใบหูอ่อนของจางจ้งจิ่ง แล้วเรียกอาหารชนิดนี้ว่า 饺耳 หรือ 饺子 พอถึงวันที่ 21 22 หรือ 23 ธันวาคม และวันตรุษจีนของทุกปีผู้คนก็จะทานเกี๊ยวกัน เพื่อระลึกบุญคุณของจางจ้งจิ่ง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ได้ใช้เกี๊ยวรักษาใบหูที่เปื่อยแล้ว แต่เกี๊ยวก็เป็นอาหารที่ผู้คนเห็นบ่อยที่สุด และชอบทานมากที่สุดอีกด้วย
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |