*/
คอลเลคชั่นหนังรัสเซีย | ||
![]() |
||
หนังรัสเซียที่เก็บไว้ |
||
View All ![]() |
แอนิเมชั่น 103 ปี | ||
![]() |
||
แอนิเมชั่นเรื่องแรกของรัสเซีย อายุ 103 ปี เพิ่งค้นพบฟิล์มเมื่อไม่นานมานี้ |
||
View All ![]() |
<< | มิถุนายน 2014 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |
ทีมชาติรัสเซียที่จะพูดถึงนี้ หมายถึงทีมชาติฟุตบอลรัสเซียหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย การที่ต้องแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งก็เพราะผลงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของ 2 ทีมชาติแต่ตระกูลเดียวกัน ผมเคยลองมานั่งคิดดูว่าทีมชาติรัสเซียยุคนี้ เทียบกับอะไรของรัสเซียได้บ้าง มันคงเทียบกับอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอานุภาพอันลือลั่นของรัสเซียไม่ได้ หรือจะเทียบกับปืนอาก้า ที่แม้จะนำไปฝังดินหรือจุ่มน้ำแล้วยังยิงได้คล่องปาก ก็คงจะไม่ได้ เทียบกับว็อดก้าที่แรงทุกหยดก็ไม่ได้ เทียบกับคาเวียร์ที่ขึ้นห้างทุกเม็ดก็ไม่ได้ ผมว่าทีมชาติรัสเซียยุคนี้ เทียบได้กับเศรษฐกิจของประเทศนั่นแหละครับ เพราะมันช่างลุ่มๆดอนๆ แต่ออกมาในแนวค่อนๆจะลุ่มๆอยู่มากไปสักหน่อย ในยุคโซเวียต ทีมชาติโซเวียต พร้อมด้วยสัญลักษณ์อักษร CCCP ที่หน้าอก ที่หมายถึง USSR แม้จะไม่เคยขึ้นไปถึงระดับสุดยอด คว้าแชมป์โลกมาครอบครอง แต่พวกเขาก็เป็นขาประจำของเวทีฟุตบอลโลก เพราะได้ไปฟุตบอลโลกถึง 7 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1958 จะมีที่อดไปเตะในเวทีนี้ก็แค่ 2 ครั้งเท่านั้นคือในปี 1974 และ 1976 โดยในปี 1974 พวกเขาถูกปรับให้ตกไป เพราะไม่ยอมเตะกับชิลี เพื่อประท้วงรัฐประหารที่ชิลีปี 1973 และพวกเขาก็เคยคว้าตำแหน่งที่ 4 มาครองในฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ แต่ในส่วนของเวทีรอง อย่างแชมป์ยุโรป โซเวียตก็เคยเป็นแชมป์ 1 ครั้งปี 1960 และเป็นรองแชมป์อีก 3 ครั้ง คือปี 1964 , 1968 และ 1988 และเคยเป็นแชมป์โอลิมปิกปี 1956 กับที่ 3 อีก 2 สมัยคือปี 1972 และ 1976 เรียกว่าฝีมือไม่ธรรมดา โซเวียตลงเตะฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายปี 1990 ที่อิตาลี โดยอยู่กลุ่มเดียวกับอาร์เจนติน่า , โรมา เนีย และคาเมอรูน พวกเขาชนะคาเมอรูนได้ทีมเดียว 4-0 จึงตกรอบแรกไป จากนั้นก็ได้สิทธิไปเตะในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 1992 แต่ตอนนั้นสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว จึงต้องลงแข่งในนามของกลุ่มประเทศ CIS ซึ่งเป็นการรวมตัวของอดีตสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตเดิม หลังเสร็จศึกรายการนั้น ในทางกีฬาฟุตบอลนั้น สหภาพโซเวียตได้สิ้นสุดการคงอยู่อย่างเป็นทางการ และทาง FIFA ก็จัดการโอนสถิติของสหภาพโซเวียตให้ไปอยู่กับรัสเซีย ส่วนอีก 14 ประเทศที่เหลือก็เริ่มนับ 1 กันใหม่ หลังสหภาพโซเวียตแตกสลาย ทีมชาติรัสเซียที่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุด ก็อยู่ในอาการร่อแร่ โงหัวขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง และเพิ่งจะมีในยุคหลังนี้ ที่พอจะมีลุ้นบ้าง ( เล็กน้อย ) ไม่ต่างอะไรกับทีมชาติอีก 14 ชาติอดีตสาธารณะของสหภาพโซเวียต โดยในยุคใหม่ ปรากฏว่ารัสเซียที่เพิ่งแยกออกมาจากสหภาพโซเวียตไม่กี่ปี อดไปฟุตบอลโลกมาแล้ว 3 ครั้งคือปี 1998 ที่ฝรั่งเศส , 2006 ที่เยอรมนี และ 2010 ที่แอฟริกาใต้ พวกเขายังอดไปเตะในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 2000 ที่เยอรมนีและฮอลแลนด์ร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย พวกเขาชนะใครก็ได้ และแพ้ใครก็ได้เช่นกัน โดยผลงานที่ยอดแย่ที่สุด คิดว่าน่าจะเป็นการเสมอประเทศเล็กๆ อดีตประเทศในเครือของสหภาพโซเวียตอย่างเอสโตเนีย รวมถึงอิสราเอล ไซปรัส และไอซ์แลนด์ ที่ไม่มีค่อยมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอล และจนถึงปัจจุบัน ในทุกรายการ พวกเขาเคยผ่านด่านการเตะรอบแบ่งกลุ่มไปได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ความย่ำแย่ของทีม ถึงขั้นทำให้ประเทศที่แต่ก่อน เคยใช้บริการทุกสิ่งทุกอย่างที่ Made IN USSR ต้องหันมานำเข้าผู้จัดการทีมจากต่างประเทศเป็นครั้งแรก และก็ใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยยังไม่หันกลับไปเหลียวแลผู้จัดการทีมคนบ้านเดียวกันอีกเลย ในช่วงแรกหลังสหภาพโซเวียตแตก หลายประเทศที่แยกออกไป ยังตั้งสมาคมฟุตบอลของตัว เองไม่ทัน นักเตะที่สามารถเล่นให้กับทีมชาติประเทศอื่นที่แยกออกไป เช่นยูเครน ส่วนใหญ่จึงสมัครใจเดินหน้ารับใช้ชาติในนามรัสเซีย และนั่นก็อาจจะทำให้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทีมชาติรัสเซียยังพอจะมีดีให้ดูอยู่บ้าง โดยในนัดแรกของทีมชาติในสีเสื้อ “ รัสเซีย “ พวกเขาชนะเม็กซิโก 2-0 เมื่อปี 1992 สำหรับศึกฟุตบอลโลกครั้งแรกในนามรัสเซีย พวกเขาลงสนามรอบคัดเลือกสำหรับสิทธิ์ในการไปฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐ ภายใต้การนำของปาเวล ซาดึริน ผู้จัดการทีม พวกเขาได้ที่ 2 ของกลุ่ม ได้ไปสหรัฐกับกรีซ และก็ถูกมองว่าไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่ง แม้ว่าอาจจะยังน่ากลัวอยู่เพราะมีนักเตะตัวเก๋าอยู่ร่วมทีมเต็มไปหมด พวกเขาอยู่กลุ่มเดียวกับบราซิล สวีเดน และคาเมอรูน ที่สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวโลก ด้วยการเข้ารอบลึกในฟุตบอลโลกครั้งก่อน กลุ่มนี้จึงถือว่าเป็นกลุ่มแข็ง โอกาสของรัสเซียมีน้อย และก็เป็นจริงเช่นนั้นเมื่อพวกเขาแพ้รวด 2 นัดแรก แต่นัดสุดท้ายกลับมาในมาดโหด ถล่มเละทีมหมอผี 6 -1 แบบทั่วโลกตะลึง ไม่นึกว่าทีมหมอผี จะมาหมดท่าเอาง่ายๆ ด้วยฝีมือของทีมที่ตกรอบไปเรียบร้อยแล้ว และในนัดนั้น นักเตะรัสเซียคนหนึ่งก็ยังยิงไปคนเดียวถึง 5 ประตู แต่การตกรอบแรก ก็ทำให้ผู้จัดการทีมโดนปลด และคนที่เข้ามาทำหน้าที่ เพื่อนำทีมเข้าสู่ศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษก็คืออเล็ก รามานเซฟ เขายังคงใช้นักเตะหน้าเดิมจากชุดฟุตบอลโลกครั้งก่อนมาร่วมทีมมากมาย ซึ่งในศึกรอบคัดเลือก พวกเขาก็มาเป็นที่ 1 แต่ในการเตะจริง กลับโคตรโชคร้าย เพราะอยู่ในสายเดียวกับเยอรมนี , อิตาลี และเชค ก็เลยตกรอบแรกไปพร้อมกับอิตาลี และก็มีการเปลี่ยนผู้จัดการอีกตามระเบียบ คนมาแทนก็คือบาริส อิกนาเตี๊ยฟ ที่จะต้องพารัสเซียไปฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส และรายนี้ก็ยังขนนักเตะจากบอลยูโรครั้งก่อนมาร่วมทีมมากมาย ในรอบคัดเลือก เก็งกันว่ารัสเซียกับบัลแกเรียน่าจะผ่านไปได้ ส่วนอิสราเอลและไซปรัสนั้นเป็นทีมระดับกระจอก แต่ปรากฏว่ารัสเซียทำได้แค่เสมออิสราเอลและไซปรัส ทำให้ต้องไปเตะรอบเพลย์ออฟกับอิตาลี แต่ด้วยผลงานเสมอ 1 แพ้ 1 ทำให้พวกเขาอดไปฟุตบอลโลก และก็ถึงเวลาเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้ง คราวนี้ได้อนาโตลี บึโชเวซ ชาวยูเครนมาทำหน้าที่พาทีมไปฟุตบอลยูโร 2000 ที่เยอรมนีและฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพ ซึ่งจริงๆแล้ว เราถือว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกก็ได้ แต่ความผสมกลมกลืน ความใกล้ชิดของคนทั้งสองชาติ ทำให้พูดลำบากว่าเขาเป็นผู้จัดการชาวต่างชาติ รายนี้ก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย ยังคงเอาผู้เล่นหน้าเดิมมาลงสนาม และรัสเซียก็ยังคงได้รับการเก็งว่าน่าจะผ่านรอบนี้ไปได้พร้อมกับฝรั่งเศส ขณะที่ยูเครนน้องใหม่ เป็นม้านอกสาย ตา แต่ปรากฏว่า รัสเซียเปิดฉากมาก็แพ้รวดทั้งยูเครน ฝรั่งเศส และไอซ์แลนด์ ผู้จัดการทีมเลยโดนปลดกลางศึก และคนหน้าเดิมอย่างรามานเซฟก็ถูกเรียกกลับมาคุมทีม ทำให้สถานการณ์พลิกกลับมาได้ พวกเขากลับมาชนะ 6 นัดรวด รวมถึงชนะฝรั่งเศสถึงถิ่น และในนัดสุดท้าย พวกเขาต้องเตะนัดชี้ชะตากับยูเครน และต้องชนะสถานเดียว ถึงจะได้ไปเตะในฟุตบอลยูโร 2000 แต่พวกเขาทำได้แค่เสมอ จึงได้แค่ที่ 3 อดไปเตะในรายการใหญ่ 2 รายการติดต่อกัน ในการเตะจริง พวกเขาอยู่สายเดียวกับโปรตุเกสเจ้าภาพ สเปน และ กรีซ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มแข็ง รัสเซียก็ไม่อยู่ในสายตา และพวกเขาก็เป็นทีมแรกในทัวร์นาเม้นต์นี้ที่ตกรอบ หลังแพ้ทั้งสเปนและเจ้าภาพ แต่ยังดีที่ชนะกรีซได้ เลยไม่ต้องกลับบ้านมือเปล่า แต่ปรากฏว่าปีนั้น กรีซกลาย เป็นแชมป์อย่างเหลือเชื่อ สำหรับฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี ในรอบคัดเลือก รัสเซียดันไปเสมอกับเอสโตเนีย 1-1 และเอสโตเนียถึงกับถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ แต่งานนี้ก็ทำให้ยาร์ตเซฟโดนเด้งฟ้าผ่า และยูริ เซมินเข้ามาทำหน้าที่ต่อ แต่ทีมก็ยังเสมอกับลัตเวีย ในนัดสุดท้ายพวกเขาต้องเอาชนะสโววาเกียนอกบ้านให้ได้ แต่ปรากฏว่าทำได้แค่เสมอ ก็เลยอดไปบอลโลกอีกครั้ง หลังเอือมระอากับผลงานของผู้จัดการทีมคนบ้านเดียวกันที่ไม่ค่อยได้น้ำได้เนื้อ รัสเซียตัดสินใจครั้งสำคัญ ทิ้งคำว่าศักดิ์ศรี และหันไปใช้บริการผู้จัดการนำเข้า ในปี 2006 รัสเซียเลือก กุส ฮิด ดิ้ง ชาวดัตช์ มาทำหน้าที่พารัสเซียไปศึกยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพ ภายใต้การนำของผู้จัดการทีมฝรั่งต่างชาติ รัสเซียยังเริ่มได้ไม่ดี พวกเขาเสมอ 2 นัดรวดในบ้าน ก่อนจะเริ่มมาแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่เด็ดที่สุดในช่วงนั้น ก็คือการชนะอังกฤษ 2-1 หลังจากเคยไปแพ้ที่อังกฤษมา 3-0 โดยอังกฤษช่วงนั้นถือว่าแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่มในเรื่องของการป้องกัน ซึ่งในวันนั้น แม้จะแพ้เละเทะ แต่ผมก็มองเห็นความแตกต่างจากรัสเซียทีมเดิม และมองว่าทีมนี้เริ่มมีอนาคตแล้ว ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไม่รู้จักการวิเคราะห์วิจารณ์อะไร เพียงแค่ดูแล้วรู้สึกชอบ ก็เท่านั้น และทำให้ผมอดที่จะบอกกับนักข่าวกีฬาคนหนึ่งว่า เด็กพวกนี้ มีอนาคต เพียงแต่ขอเวลาอีกสักหน่อย เพื่อนผมก็แค่เออออไปตามเรื่อง แต่ในใจก็คงจะคิดว่า ไอ้บ้านี่มันพูดอะไร ก็บอลมันชนะขาดซะขนาดนั้น แต่ไม่กี่วันต่อมา รัสเซียก็พิสูจน์ว่าพวกเขามีดีจริง เมื่อเอาชนะอังกฤษไปได้ และสุดท้ายแล้ว รัสเซียเป็นที่ 1 ของกลุ่ม แซงหน้าอังกฤษไปได้อีกต่างหาก ในการเตะจริง พวกเขายังคงต้องเจอกับคู่ปรับเก่าจากศึกยูโร 2004 อย่างสเปนและกรีซ แถมมาด้วยสวีเดน พวกเขาเปิดฉากด้วยการแพ้สเปนเละเทะ 4-1 แต่นัดต่อมา ก็ยังชนะแชมป์เก่าที่เคยชนะมาแล้วอย่างกรีซ แถมยังชนะสวีเดน ทำให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ได้เข้าไปเล่นในรอบลึกได้ครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสหภาพโซเวียต ในรอบต่อไป พวกเขาไปเจอกับฮอลแลนด์ หนึ่งในตัวเก็ง ที่ในรอบแรกฟอร์มดุ ชนะรวด 3 นัด ทั้งอิตาลี ฝรั่งเศส โรมาเนีย แบบเสียแค่ประตูเดียว ใครก็มองว่างานนี้ รัสเซียไม่รอดแน่ แต่ปรากฏว่าฮอลแลนด์อยู่ในช่วงผีออกตอนต่อเวลา รัสเซียจึงชนะไปด้วยฝีมือผู้จัดการทีมชาติเดียวกับคู่ต่อสู้ 3-1 หลังช่วงต่อเวลา และได้กลับไปเจอกับสเปนที่แพ้มาแล้วเละเทะในรอบแรก คราวนี้ พวกเขาก็ยังต้านไม่ไหวอยู่ดี และแพ้ไปอีก 3-0 รวมแล้ว ทัวร์นาเม้นต์นี้ พวกเขาแพ้อยู่ทีมเดียวคือสเปน ( แพ้ 2 นัด ) และต่อมาสเปนก็เป็นแชมป์ แต่วิบากกรรมก็ยังไม่สิ้น เพราะรัสเซียก็ยังอดไปฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้อีกครั้ง เมื่อในรอบคัดเลือก พวกเขาแพ้เยอรมนีทั้งสองนัด แต่ก็ยังมีดีพอที่จะได้ไปเตะรอบเพลย์ออฟกับสโลวีเนีย แต่พวกเขาทำไม่ได้ เมื่อทำผลงานชนะ 2-1 และแพ้ 1- 0 จากนั้น ดิ๊ก อัตโวคาต ชาวดัตช์อีกคนก็เข้ามาทำทีมต่อสำหรับศึกยูโร 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนเป็นเจ้าภาพ เขาพารัสเซียเข้าสู่ศึกครั้งนี้ได้ในฐานะที่ 1 ของกลุ่ม โดยไปเจอกับเชค โปแลนด์ และกรีซ รัสเซียเปิดฉากสุดสวย ถล่มเชคเละเทะ 4 – 1 ก่อนจะไปเสมอโปแลนด์ 1-1 และแพ้กรีซ 1-0 ตกรอบแรกไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่มี 4 คะแนนเท่ากับกรีซ แต่ต้องตกรอบไปเพราะกฎเฮดทูเฮด สำหรับศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล รัสเซียก็โผล่มาอีกครั้ง ภายใต้การนำของฟาบิโอ คาเปลโล จากอิตาลี พวกเขาผ่านรอบคัดเลือกมาได้โดยเป็นที่ 1 ของกลุ่ม แซงหน้าโปรตุเกสเสียด้วยซ้ำ โดยผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ในฟุตบอลโลก รัสเซียอยู่ร่วมสายกับ เบลเยี่ยม แอลจีเรีย และเกาหลีใต้ ซึ่งถือว่าเป็นสายอ่อนที่สุดในศึกครั้งนี้ก็ว่าได้ แต่เจอสายอ่อนทีไร รัสเซียพังเละทุกที |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |