พระเจ้ากับชาวยิว(๓๙) นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๒๐ หรือปี ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นต้นมา จะเป็นเพราะความชุลมุนวุ่นวายอันเนื่องมาจาก ความขัดแย้งทางอำนาจและผลประโยชน์ในหมู่ชาติต่างๆ ในยุโรป ที่ปรากฏสืบเนื่องมาโดยตลอด และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามครั้งแล้วครั้งเล่าหรือจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกด้วยหรือไม่? ก็แล้วแต่บรรดาชาวยุโรปจำนวนไม่น้อยได้เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของ รัฐบาลโลก (World Government) ที่จะทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้งแตกต่างทางการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างชาติต่างๆ ด้วย การทำโลกให้เป็นโลกเดียว (One World) หรือ การสร้างสรรค์ระเบียบใหม่ ให้กับโลก (New World Order) กลุ่มคนที่พยายามนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ มีทั้งประเภทที่หนักไปในทางคิดฝันกันในเชิงอุดมคติ เช่น เฮอร์เบิร์ต จอร์จ เวลส์ หรือ เอช.จี.เวลส์ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก้องโลก ที่ได้กล่าวถึงแนวคิดเหล่านี้เอาไว้หลายครั้งหลายหนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถึงกับเคยเขียนถึงสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ในหนังสือชื่อ One World State ส่วนนักคิดและนักปรัชญาอย่าง เบอร์ทรัล รัซเซล ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ถึงความหวังต่อ สันติภาพถาวร ถ้าหากมี รัฐบาลโลก ถูกจัดตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเห็นชอบของนานาชาติ เพื่อควบคุมภยันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งกำลังเริ่มก่อให้เกิดความตึงเครียดกับโลกทั้งโลกมาตั้งแต่ช่วงระยะนั้น .หรือนักปราชญ์อาวุโสอย่าง อาโนลด์ ทอยน์บี ก็ถือได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่านี้และได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ ถึงความหวังที่จะมีรัฐบาลโลกเพื่อนำมาซึ่งหลักประกันสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติในยุคนิวเคลียร์ ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่ไม่ได้มองแนวคิดเหล่านี้เพียงแค่ในเชิงอุดมคติ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาและมีจุดมุ่งหมายที่หนักไปในลักษณะของความทะเยอทะยานอันมีแรงผลักดันมาจากความรู้สึกถึงความสูงส่งของเผ่าพันธุ์และชนชาติของตัวเองกันเป็นการเฉพาะ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เช่น แนวความคิดของ เซซิล จอห์น โรเดส นักธุรกิจเหมืองแร่และเจ้าที่ดินใหญ่ชาวอังกฤษที่ถือกำเนิดในแอฟริกาใต้ และเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิดประเทศ โรดิเซีย (ซิมบับเว) ก็เคยเสนอแนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. ๑๙๐๐ ถึงความต้องการที่จะให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจัดตั้ง สหพันธ์รัฐบาลโลก (Federal World Government) เพื่อที่จะช่วยปกป้องดูแลให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในโลกที่มีชาวผิวขาวปกครองและมีภาษาอังกฤษใช้เป็นภาษาหลัก หรือ ไลโอเนล เคอร์ติส นักคิดชาวโปรเตสแตนท์ที่ได้เขียนหนังสือชื่อ Commonwealth of God ในปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ปลุกเร้าให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ทำงานของพระเจ้า (Work of God) ด้วยการรวมตัวกันจัดตั้ง รัฐบาลโลก เพื่อให้เกิดอาณาจักรของพระเจ้าที่ใช้ภาษาอังกฤษขึ้นมาในโลกนี้ แต่นอกเหนือไปจากนั้น แนวคิดในเรื่อง รัฐบาลโลก ก็ยังได้ถูกพูดถึง หรือได้ถูกสะท้อนออกมาผ่านทัศนคติของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีพลังมากที่สุด!!! ในการขับเคลื่อนแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่อุดมคติที่เลื่อนลอย หรือเป็นแค่แนวความคิดที่เลอะเทอะไร้สาระดังเช่นกลุ่มอื่นๆ นั่นก็คือกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายและแรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะขยายขอบเขตของผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองให้กว้างขวางออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หรือบรรดากลุ่มอภิมหาธุรกิจทั้งหลายทั้งในซีกตะวันตกและตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติก อันประกอบไปด้วยกลุ่มนายธนาคารระหว่างประเทศ กลุ่มนักอุตสาหกรรม การค้า รวมไปถึงชนชั้นขุนนางในยุโรป ด้วยอำนาจอิทธิพลทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจอันกว้างขวางใหญ่โตมหึมา การผลักดันให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จึงก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในการพัฒนากลุ่มก้อนองค์กรนานาชนิด ให้อุบัติขึ้นมารองรับแนวความคิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง ราชสมาคมว่าด้วยกิจการระหว่างประเทศ (Royal Institute for International Affairs) ขึ้นมาในประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ตามมาด้วยการก่อตั้ง สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ CFR ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ การรวมตัวกันของนักธุรกิจการเงินในอเมริกาและอังกฤษที่จัดให้มีการประชุมเพื่อสร้างระบบการเงินโลกที่ เบรตตัน วูดส์ ในปี ค.ศ.๑๙๔๔ ซึ่งได้นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในเวลาต่อมา ไปจนถึงการรวมตัวของผู้นำทางการเมืองในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ นอกเหนือไปจากนั้น กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและทางการค้าเหล่านี้ยังพยายามสร้างเครือข่ายเชื่อมประสานผลประโยชน์ทางการเมืองและทางการค้าขึ้นมาด้วยองค์กรที่เรียกกันว่า บิลเดอร์เบอร์ก ในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ และยังมีส่วนผลักดันให้เกิดองค์กร ตลาดร่วมยุโรป หรือ European Common Market (EEC) ในปี ค.ศ. ๑๙๕๗ ที่ได้กลายมาเป็น สหภาพยุโรป ในทุกวันนี้ เกิดการจัดตั้ง คณะกรรมการ ๓ ฝ่าย หรือ The Trilateral Commission เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอำนาจของพันธมิตรอเมริกาเหนือ-ยุโรป-เอเชียเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ จัดตั้ง องค์การการค้าโลก หรือ World Trade Organization (WTO) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕ ฯลฯ บรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ดำเนินสืบเนื่องกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้จุดมุ่งหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำพาโลกไปสู่การ ทำให้โลกเป็นโลกเดียว โลกที่ได้รับการ จัดระเบียบขึ้นมาใหม่ ให้อยู่ภายใต้อำนาจของ รัฐบาลโลก ??? แนวคิดในลักษณะที่ว่านี้ อันที่จริงก็ไม่ได้มีการแสดงออกในลักษณะปิดบังหลบซ่อนกันซักเท่าไหร่นัก หรือมันค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาในแนวเดียวกันกับที่ เอช.จี.เวลส์ ได้เคยให้คำแนะนำเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าสามารถกระทำได้ในลักษณะที่เรียกว่า การสมคบคิดอย่างเปิดเผย (open conspiracy) นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๒๒ มาแล้ว หรือเพียงแค่ประมาณ ๓ ปีเท่านั้นหลังจากได้มีการจัดตั้งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีอภิมหานักธุรกิจร็อคกี้เฟลเลอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสภา บทความในนิตยสาร ฟอร์เรจน์ แอฟแฟร์ ของ CFR ที่เขียนโดยสมาชิกขององค์กรชื่อว่า ฟิลลิป เคอร์ ซึ่งได้จุดประกายความคิดเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่นั้นแล้ว ก็ได้ระบุว่า ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน สันติภาพและความรุ่งโรจน์ที่จะมีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้และกว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้จริงๆ ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น นอกเหนือไปจากนั้น สมาชิกคนสำคัญๆ ของCFRในแต่ละยุค แต่ละรุ่นก็เคยแสดงออกถึงแนวความคิดในลักษณะดังกล่าวอย่างไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไรมากมายนัก ไม่ว่าจะโดย เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์ ที่ได้แสดงความเห็นในวารสาร CFR ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ว่า จะอีกนานเท่าไหร่สำหรับชีวิตของรัฐชาติ จะอีกนานเท่าไหร่ที่เขาทั้งหลายพร้อมที่จะยอมเสียสละบางส่วนของบูรณภาพโดยไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจจนไม่อาจยอมรับได้ เมื่อนั้นนั่นแหละที่ ระเบียบโลกใหม่ ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาและจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นสหประชาชาติที่แท้จริง หรือการนำไปสู่การกำหนดชะตากรรมร่วมกันของโลกใบนี้ แม้กระทั่งทายาทตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ อย่าง เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์ ก็ได้เขียนถึงแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหนังสือเรื่อง Future of Federalism ในขณะเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ และได้ยืนยันถึงแนวคิดเหล่านี้อีกครั้งต่อสำนักข่าวเอ.พี. ในระหว่างการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ว่าเขาต้องการที่จะใช้ฐานะความเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในการผลักดันเพื่อให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์อันจะนำไปสู่ การจัดระเบียบโลกใหม่ เช่นเดียวกับ จอร์จ บอลล์ สมาชิกคนสำคัญของ CFR ผู้เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอเมริกาที่ได้เคยขายความคิดเหล่านี้ไว้ในระหว่างการปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ว่า เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้นคับแคบเกินไป และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของธุรกิจสมัยใหม่บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการระดับโลกย่อมหวังที่จะเห็นแนวโน้มของโลกที่ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี แต่ยังต้องรวมถึงปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่ไม่ควรถูกจำกัดขอบเขตโดยความเป็นชาติอีกด้วย หรือ เลสลี เกลบ์ ประธาน CFR ที่ได้ยืนยันเอาไว้ในรายการโทรทัศน์ในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ว่า องค์กรอย่าง CFR ได้กล่าวถึงเรื่องราวของระเบียบโลกใหม่มานานแล้วและถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานของ CFR ที่ได้ตอกย้ำมาโดยตลอดถึงการทำให้โลกเป็นโลกเดียว . ภายใต้บทบาทของกลุ่มคนเหล่านี้ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลและความผูกพันใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดว่าเหตุใดผู้นำทางการเมืองของอเมริกาในแต่ละยุคต่างก็ได้สืบทอดแนวความคิดเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ไม่ว่า แฟรงค์กลิน ดี. รูสเวลท์ ที่ใกล้ชิดกับ CFR ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค และรับเอาบันทึกช่วยจำของ CFR ไปใช้เป็นนโยบายต่างประเทศอเมริกาในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประธานาธิบดี เฮนรี่ ทรูแมน ที่ถึงกับประกาศเอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ว่า เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับชาติต่างๆ ที่จะเป็นสหพันธรัฐโลก เหมือนอย่างที่เราได้เป็นสหรัฐอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้ หรือ เจมส์ พี.วาร์เบอร์ก สมาชิกคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่าด้วยกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ว่า เราจะต้องมีรัฐบาลโลก ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม คำถามมีอยู่แค่เพียงว่ามันจะบรรลุความเป็นไปได้ด้วยการยินยอมหรือโดยการบังคับ เท่านั้นเอง และแนวคิดเช่นนี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นสืบทอดกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะโดยรัฐบาลของรีพับลิกันหรือดีโมแครตก็ตาม คำประกาศถึง การจัดระเบียบโลกใหม่ ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๑ กันยายน ปี ค.ศ.๑๙๙๐ โดยประธาธิบดี จอร์จ บุช แห่งพรรครีพับลิกัน หลังสงครามเย็นได้ทำท่าว่าใกล้จะยุติลงไป จึงเป็นสิ่งที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรไปจากแผน ยุทธศาสตร์แห่งชาติ ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งพรรคดีโมแครตหรือที่รู้จักกันในนาม แผนยุทธบริเวณใหม่ของยุทธการสหรัฐ-ทางการเมือง-การทหาร (Political-Millitary-A new Theater of Operation) หรือ แนวทางยุทธศาสตร์ในอนาคตของสหรัฐอเมริกา ที่ถูกประกาศออกมาในปี ค.ศ .๑๙๙๘.. และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้นไปอีกโดยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ด้วยการประกาศแนวทางของรัฐบาลอเมริกันต่อประเทศต่างๆ ในโลกเอาไว้ว่า ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา ผู้นั้นก็คือฝ่ายผู้ก่อการร้าย ซึ่งถือได้ว่า เป็นคำประกาศที่ไม่ต่างไปจากการสถาปนาตัวเองให้เป็น รัฐบาลโลก อย่างเป็นทางการ นั่นเอง!!! แต่ในขณะที่รัฐบาลอเมริกาได้สถาปนาตัวเองให้กลายมาเป็นรัฐบาลโลกกันไปแล้วนั้น ลึกลงไปในหน้าตาของความเป็นรัฐบาลอเมริกัน ก็คงไม่ได้มีแต่ชาวอเมริกันที่มีบุคลิกโง่ๆ เซ่อๆ อย่างเช่นประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เท่านั้น ที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกทั้งโลกในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า .เพราะภายใต้ความเป็นรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุคแต่ละสมัยมันมักจะถูกแวดล้อมไปด้วยบรรดา ชาวยิว หรือบรรดา ชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้วให้เป็นผู้ปกครองโลก สอดแทรกอยู่ภายในทำเนียบประธานาธิบดีอย่างเป็นเครือข่าย และดูเหมือนว่าบรรดากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละ ที่น่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญเอามากๆ หรือมีบทบาทอยู่เบื้องหลังการกำหนดทิศทางของโลกอย่างแท้จริง ??? |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | มกราคม 2008 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 |