*/
<< | กันยายน 2016 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | ||||
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
ประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ ชาวมอญ สังขละบุรี ชาวไทยในแต่ละภาคมีประเพณีบุญเดือนสิบที่มีชื่อเรียกและพิธีกรรมต่างรูปแบบ แต่ก็มีวัตถุประสงค์ที่คล้ายกัน คืออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษเป็นหลัก … ชาวอิสานมีประเพณีบุญข้าวประดับดิน ชาวใต้มีพิธีชิงเปรต ส่วนทางสังชละบุรีมีพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ "ลอยเรือสะเดาะเคราะห์" เป็นประเพณีดั้งเดิมของชุมชนมอญบ้านวังกะ อำเภอสังขละบุรี ประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์นี้ ว่ากันว่า … เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระเจ้าธรรมเจดีย์ขึ้นครองราชย์ปกครองอาณาจักรมอญ ที่เมืองหงสาวดี พระองค์ทรงเห็นพระภิกษุสามเณรในเมืองหงสาวดี มีความประพฤติย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัย จนพระพุทธศาสนาในเมืองมอญเกิดมลทินด่างพร้อยมากมาย ... จึงมีพระราชประสงค์จะสังคายนาพระพุทธศาสนาเสียใหม่ เพื่อชำระหมู่พระภิกษุสงฆ์ให้มีความบริสุทธิ์ พระองค์จึงมีพระราชโองการรับสั่งให้พระภิกษุและสามเณรในเมืองมอญลาสิกขาเสียทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วทรงส่งปะขาวถือศีล 8 คณะหนึ่ง … ซึ่งก็คือ อดีตพระเถระผู้รอบรู้เรื่องพระไตรปิฎก ทรงความรู้ ตั้งมั่นในศีล ที่พระองค์มีคำสั่งให้ลาสิกขามาถือศีล 8 เป็นปะขาวนั่นเอง … ชีปะขาวทั้งหมด ออกเดินทางไปยังประเทศศรีลังกา เพื่อให้ไปถือการอุปสมบทเป็นพระภิกษุมาใหม่จากคณะสงฆ์ในประเทศศรีลังกา .. เมื่อเสร็จแล้วให้เดินทางกลับมาเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ บวชให้แก่คนมอญในเมืองมอญเสียใหม่ คณะของปะขาวนี้ เมื่อเดินทางถึงประเทศศรีลังกา ได้รับการอุปสมบทแล้วก็เดินทางกลับ … ในระหว่างที่เดินทางกลับนั้น เรือสำเภาลำหนึ่งในจำนวนสองลำโดนพายุพัดให้หลงทิศไป ส่วนอีกลำหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองหงสาวดีโดยปลอดภัย เมื่อทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าธรรมเจดีย์ พระองค์จึงมีรับสั่งให้ทำเรือจำลองขึ้นมา ข้างในบรรจุด้วยของเซ่นไหว้บูชาเหล่าเทวดาทุกหมู่เหล่า เครื่องเซ่นไหว้นั้น เพื่อขอให้เหล่าเทวดาทั้งหลาย ที่ดูแลพื้นดินก็ดี ที่ดูแลพื้นน้ำก็ดี ที่ดูแลพื้นอากาศก็ดี ได้มาช่วยปัดเป่าให้เรือสำเภาที่หลงทิศไปนั้น ได้เดินทางกลับมาโดยปลอดภัย หลังจากที่พระองค์ทรงทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วไม่กี่วัน เรือที่หลงทิศไปนั้นก็เดินทางกลับมาถึงเมืองหงสาวดีโดยปลอดภัย ... ชาวมอญจึงถือเอาเหตุการณ์นี้ทำพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ในช่วงกลางเดือน 10 ของทุก ๆ ปี สืบต่อกันมาตราบจนปัจจุบันนี้ งานบุญเดือน 10 และพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ ... เป็นงานบุญประจำปีของชาวไทยเชื้อสายมอญ หรือแม้แต่ชาวมอญที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่าโดยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน สำหรับประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ชาวไทยรามัญอำเภอสังขละบุรี ... ถือเป็นงานประเพณีที่เป็นการสืบสานวัฒนธรรมเก่าแก่มายาวนาน และเป็นประเพณีตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายมอญ ที่ถือเป็นจุดรวมแห่งความมีศรัทธาต่อหลวงพ่ออุตตมะ ที่วัดวังก์วิเวการาม … กำหนดจัด 3 วัน ในวันขึ้น 14-15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 15-17 กันยายน 2559 … โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการบูชาเทวดาที่อยู่ในน้ำ ในป่า และบนบก อีกทั้งเพื่อสืบสานประเพณีดั้งเดิมของกลุ่มชน ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่ประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ให้แก่ชุมชน ประชาชน และนักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ ฉันและคณะเพื่อนๆมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานประเพณีครั้งนี้ ณ บริเวณลานหน้าเจดีย์พุทธคยา วัดวังก์วิเวการาม ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เราออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร แวะทานอาหารเช้า และชมโรงถ่ายฯค่ายสุรสีห์ ... การเดินทางไม่ได้รีบร้อน แวะเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในรายทาง และมาถึงอำเภอสังขละบุรีช่วงเย็น วันที่ 15 ช่วงเย็น ... เราเดินทางไปถึงวัดวังก์วิเวการาม หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" ซึ่งเป็นวัดที่ถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับคนพื้นถิ่น และเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอสังขละบุรี ทั้งชาวไทย และกะเหรี่ยง โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เปรียบหลวงพ่ออุตตมะเป็น "เทพเจ้าแห่งชาวมอญ" วัดแห่งนี้จึงเป็นเสมือนตัวแทนหลวงพ่อ และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมอญ … ในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีของมอญ และจัดงานอื่นๆ เช่น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการจัดงานคล้ายวันเกิดของหลวงพ่ออุตตมะ มีงานกิจกรรมต่างๆ พิธีกรรมทางศาสนา งานแข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่นการรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และมีการแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมชาวไทยรามัญ อาคารแรกที่เราไปเยี่ยมชม คือ “ปราสาทเก้ายอด” .. ปราสาทเก้ายอด เป็นอาคาร 2 ชั้น ... ด้านหน้ามีซุ้มทางเข้า ประดับประดาด้วยหลังคาเรือนยอดเป็นชั้นๆ สีเขียวตัดขอบทอง ปลายยอดมีด้วยกัน 3 ยอด ตามลักษณะสถาปัตยกรรมของมอญ ชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บพระพุทธรูป และอัฐบริขาร เครื่องใช้ต่างๆ เช่น คัมภีร์ใบลานอักษรมอญโบราณ ตาลปัตร นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของปราสาทเก้ายอด ปราสาทเก้ายอด คือโลงบรรจุสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปกรรมของชนชาติมอญ ลวดลายมีความประณีต งดงาม ปราสาทเก้ายอดนี้ เป็นฝีมือสกุลช่างจากทางเชียงใหม่ใช้ลวดลายประมาณ 20 - 30 ลวดลาย ตัวโลงเจาะช่องใส่กระจกให้มองเห็นภายในได้ เรียกว่า "ลายขุนแผนเปิดม่าน" ด้านบนตกแต่งเป็นด้วยลวดลายสวยงาม ... ส่วนบนสุดทำเป็นยอดถึง 9 ยอด การทำปราสาทมอญเป็นความเชื่อดั้งเดิมว่า เป็นการส่งวิญญาณให้ไปสถิตยังสรวงสวรรค์ ด้านหน้าปราสาทเก้ายอด มีหุ่นขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปหลวงพ่ออุตตมะในท่านั่ง ... ถัดมามีตู้ทรงมอญ ลักษณะคล้ายบุษบก ข้างในใส่รูปหลวงพ่อ วิหารพระหินอ่อน … เราไม่มีเวลาพอจึงไมได้เข้าชมวิหารแห่งนี้ ที่นี่มี พระพุทธรูปหินอ่อน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อขาว" ตั้งอยู่ในวิหารพระหินอ่อน ซึ่งอยู่ทางขวามือติดกับทางเข้า .. อาคารสร้างแบบก่ออิฐถือปูน มีทางเดินเชื่อมต่ออาคาร มีหลังคาคลุมตลอด พระพุทธรูปหินอ่อน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก หนัก 9 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่หลวงพ่ออุตตมะสั่งทำขึ้นที่พม่า โดยส่งรูปพระพุทธชินราชไปให้ช่างที่มัณฑเลย์ แกะจากหินอ่อนสีขาวก้อนเดียว ว่าจ้างด้วยทองคำแทนเงิน หลวงพ่อสั่งทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 จ่ายเป็นจำนวนสามงวด เป็นทองหนัก 10 บาท 5 บาท และ 10 บาท (ในสมัยที่ราคาทองคำบาทละ 450 บาท) ... สร้างเสร็จเมื่อกลางปี พ.ศ. 2515 แต่ยังไม่สามารถนำเข้าสู่ประเทศไทยได้ ต้องทำเรื่องขออนุญาติกรมการศาสนาของพม่าจนแล้วเสร็จในช่วงปลายปี จากนั้นทำการขนย้าย ด้วยระยะทางที่ไกล และเป็นพระพุทธรูปที่มีน้ำหนักมาก ต้องผ่านเส้นทางที่เป็นป่าและหมู่บ้านชายแดน ทำให้มีความล่าช้า จนมาถึงด่านเจดีย์สามองค์เมื่อ แรม 9 ค่ำ เดือน 4 ปีพ.ศ. 2517
พระอุโบสถ … พระอุโบสถของวัด มีความงดงาม มีซุ้มทางเข้าอุโบสถเป็นซุ้้มหลังคาทรงยอดปราสาท ภาพด้านบน เป็นภาพพระอุโบสถมองจากลานจอดรถ ข้างบันไดทางขึ้น ... มีพระพุทธ พร้อมสาวก ในรูปแบบศิลปะพม่า ประดิษฐานอยู่ ทางเดินรอบโบสถ์มีซุ้มเสมา บ่งบอกขอบเขตพัธสีมาอยู่ในซุ้้มหลังคาทรงยอดปราสาท ส่วนตัวโบสถ์ เป็นหลังคาทรงสูง หลังคาโบสถ์ทำเป็นหน้าจั่วซ้อนชั้น และมียอดปราสาทอยู่ชั้นบนสุด หน้าบันประดับด้วยลายกนกสวยงาม เสาโบสถ์เป็นเสาขัดมันวาว แผนที่ประเทศไทย ... อยู่ภายในกรอบประติมากรรมลอยตัวทรงแบน ที่มองดูเหมือนระฆัง ประติมากรรมนี้ ตั้งอยู่ตรงทางเข้าพระอุโบสถ สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจดีย์พุทธคยาจำลอง ... จะมองเห็นได้ชัดเจนระหว่างการเดินทางมาที่วัดวังวิเวก์การามแห่งนี้ .. โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมองมาจากเรือที่ล่องในแม่น้ำ ด้านหน้ามีบันได้ทางขึ้นสู่ฐานของพุทธคยา ... ระหว่างเส้นทางมีรอยพระพุทธบาทจำลอง รูปหล่อหลวงพ่ออุตตมะผู้ก่อสร้างวัดนี้ให้ได้เคารพสักการะ ด้านบนมีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะได้อัญเชิญมาจากศรีลังการไว้บนยอดเจดีย์ สามารถเดินชมรอบ ๆ ฐานพุทธคยาได้ ในวันที่เราเดินทางไปถึง ... เป็นช่วงวันที่ชาวบ้านกำลังจัดเตรียมงาน โดยชาวบ้านจะร่วมมือร่วมใจกันเตรียมทำธง ร่ม และจัดเครื่องบูชาต่าง ๆ เพื่อถวายวัด โดยมีการแบ่งงานให้หัวหน้าคุ้มต่าง ๆ ในหมู่บ้าน รับไปให้ลูกบ้านช่วยทำแล้วนำมาส่งที่วัด … ผู้ชายส่วนหนึ่งจะมารวมกันที่วัดวังก์วิเวการามเพื่อสร้างเรือขนาดใหญ่จากลำไม้ไผ่ ก่อนจะประดับตกแต่งด้วยกระดาษหลากสี และตุงสีต่างๆ เป็นการเตรียมการณ์ บนลานวัด .. ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวมอญทำการสวดมนต์ แม้พวกเราจะไม่เข้าใจ แต่สำเนียงที่ได้ยินนั้นไพเราะมาก วันรุ่งขึ้น เราตื่นแต่เช้ามืดของวันขึ้น 15 ค่ำ เพื่อไปร่วมพิธีของชาวมอญ … ตลอดทาง มองเห็นชาวไทยเชื้อสายมอญแต่งกายตามชุดประจำชาติ ... ผู้ชายใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวนุ่งโสร่งสีแดง ส่วนหญิงสาวนุ่งซิ่นลวดลายประณีตสวยงามและวิธีการนุ่งต่างกัน สวมเสื้อ ตัวในคอกลมแขนกุดตัวสั้นแค่เอว เล็กพอดีตัว สีสด สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวทรงกระบอก เป็นผ้าลูกไม้เนื้อบาง มีผ้าคล้องคอ ดูสวยงามและมีเสน่ห์ … ชาวบ้าน ต่างอุ้มลูก จูงหลาน .. เรียกว่าทุกคนในครอบครัวต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดียวกัน เพื่อทำพิธีที่พวกเขาศรัทธาที่วัด วังก์วิเวการาม ชาวบ้านพากันนำธง ตุงกระดาษ ร่มกระดาษ มาประดับตกแต่งเรือและบริเวณปะรำพิธีอย่างเนืองแน่น พร้อมนำเครื่องเซ่นไหว้คาวหวานทั้ง 9 อย่าง เช่น กล้วย อ้อย ขนม ข้าว ดอกไม้ ไปวางไว้ในลำเรือ สิ่งหนึ่งที่คนไปร่วมงานพิธีจะเตรียมไปคือ รายชื่อของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเชียนในกระดาษหนึ่งใบ และจะมีกระดาษอีกหนึ่งใบ ที่เขียนชื่อบุคคลอันเป็นที่รักที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่เราอยากจะอุทิศส่วนกุศลและบุญที่ทำในวันนี้ส่งไปให้ กระดาษทั้งสองแผ่นจะถูกนำไปมัดหุ้มกับเทียนและธูป แล้วนำไปใส่ในเรือด้วยเช่นกัน ก่อนถวายชาวบ้านจะนั่งคุกเข่าบริเวณหน้าลำเรือ ... นำธูปเทียนเทียน ตามกำลังวันเกิดไปไหว้และสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ โดยการนำธูป และสวดมนต์ละลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ขอพรจากเทวดาให้ปกปักรักษา อธิษฐานให้สิ่งไม่ดี และเคราะห์ร้ายต่าง ๆ ไปให้พ้นจากชีวิตตน … แล้วนำเครื่องเส้นไหว้ขึ้นจรดเหนือหัวแสดงถึงความเคารพและศรัทธายิ่ง หลังจากนั้นก็นำเครื่องเส้นไหว้ถวายลงไปในลำเรือไม้ไผ่ นอกจากนั้นยังมีพิธีบูชาพระประจำวันเกิด ... โดยจะมีการนำเครื่องเซ่นไหว้ และดอกไม้ไปถวาย จุดธูปเทียนบูชาพระ และสวดมนต์เพื่อความสุขสวัสดี ให้ชีวิตมีความสุขสวัสดี ด้านข้างของเจดีย์พุทธคยาจำลอง … พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่จะนำพระสงฆ์และสามเณรรวม 36 รูป ทำการสวดบทสวดอิติปิโส 108 จบ และบทสวดสะเดาะเคราะห์ ซึ่งบทสวดนี้มีตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของเมื่อวาน และมาจบเมื่อบทสวดอิติปิโสครบ 108 จบในช่วงเช้าวันนี้พอดี ชาวบ้านจะมาฟังบทสวดทั้งสองบทเพื่อความเป็นสิริมงคล การปล่อยโคมขึ้นไปบนท้องฟ้า … เมื่อสวดมนต์เสร็จ ชาวบ้านจะนำโคมน้อยใหญ่มาลอยขึ้นฟ้าบริเวณลานหน้าเจดีย์พุทธคยาตั้งแต่เช้ามืดจรดเย็นค่ำของทุกวันจนกว่าจะถึงวันลอยเรือ ตามความเชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ให้หมดไป ในสมัยก่อนจะมีการลอยโคมเพื่อสะเดาะเคราะห์ ... โดยวัดจะเป็นผู้ทำโคมขนาดใหญ่บรรจุเครื่องอัฐบริขาร จากนั้นลอยขึ้นบนท้องฟ้า โคมไปตกที่บ้านใคร ลูกชายบ้านนั้นจะต้องบวชสะเดาะเคราะห์ และเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว เหลือเป็นเพียงการละเล่นทั่วไป หลังจากประกอบพิธีการต่างๆแล้ว ผู้คนจะชวนกันขึ้นไปเดินจงกรมรอบองค์พระเจดีย์ การเดินจงกรมจะทำกันที่ลานชั้นสองของเจดีย์ ส่วนลานชั้นบนนั้น ห้ามผู้หญิงขึ้นไป แวะกราบและบูชารอยพระพุทธบาทจำลองในบริเวณทางขึ้นสู่องค์เจดีย์ เดินจงกรมตามศรัทธาและความเชื่อ ด้วยการเดินเวียนขวา เป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะได้อัญเชิญมาจากศรีลังกา และประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ ในตอนสายๆก่อนเที่ยงจะมีอีกหนึ่งประเพณีที่จะพลาดไม่ได้เลยคือประเพณีตัดบาตรน้ำผึ้ง น้ำมันงา … ชาวบ้านจะนำน้ำผึ้งและน้ำมันงามาใส่บาตรพระภิกษุ แต่เนื่องจากปัจจุบันน้ำผึ้งหายากก็เลยเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทรายแทน การตัดบาตรนั้นชาวบ้านจะนั่งรอบริเวณทางเดินของวัดแล้วพระภิกษุจะมารับบิณฑบาตรกับชาวบ้านทุกๆคน เราไม่ได้รอจนที่จะตักบาตรในบริเวณวัด แต่มีโอกาสไปตักบาตรใกล้ๆกับสะพานไม้แทน … พระสงฆ์จะจะเดินมารับข้าวปลาอาหาร ดอกไม้ ธุป เทียนที่ชาวบ้นและพวกเราตั้งใจใส่ในบาตร สะพานไม้ที่โด่งดัง หลังการบูรณะครั้งใหญ่ บรรยากาศ และทิวทัศน์ยังคงงดงามมากมายในสายตา เหมือนดังเช่นที่เคยเป็นมาเนิ่นนาน เมื่อถึงเช้าวันแรม 1 ค่ำ อันเป็นวันสุดท้ายของงานพิธี ชาวบ้านก็มารวมตัวกันตั้งเป็นขบวนแห่ … หลังจากเสียงกลองยาวเริ่มดังขึ้น สาวใหญ่ สาวน้อยก็ร่ายรำกันอย่างครึกครื้น ขบวนลากเรือเริ่มมีการจัดเตรียมเชือกให้คนลากเรือไปยังท่าเรือวัดวังก์วิเวการาม โดยที่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อเรือไม้เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ลำน้ำ ชายร่างกำยำเริ่มเข้ามาจับยึดเรือเพื่อพยุงลำเรือให้ลงสู่ผืนน้ำ เรือยนต์ของกรมประมงมาช่วยลากเรือไม้ไผ่ร่วมกับชาวบ้าน บางคนที่คอยลุ้นอยู่ริมชายฝั่งว่าเรือจะลอยสำเร็จหรือไม่ และเมื่อเรือไม้ลอยลองสู่แม่น้ำชาวบ้านต่างพากับปรบมือร้องดีใจกันถ้วนหน้า จากนั้นเรือยนต์ลำใหญ่ได้ลากเรือไม้ไปตามแม่น้ำมุ่งหน้าไปยังเขื่อนวชิราลงกร แล้วไปจอดปักหลังตรงจุดบรรจบของแม่น้ำสามสาย ได้แก่ ซองกาเลีย รันตี และบิคลี่ ที่เรียกกันว่า "สามสพ" นั่นเอง จากนั้นก็ผูกเรือไว้กับขอนไม้ใหญ่กลางอ่างเก็บน้ำ ถวายเรือและเครื่องเส้นไหว้ให้กับเทวดาผู้ปกปักรักษาชาวไทยเชื้อสายมอญ เป็นการเสร็จพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ของชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่อำเภอสังขละบุรีลงด้วยดี … พร้อมกับบุญกุศลเต็มอิ่มที่คนที่ไปร่วมงานจะได้รับกลับบ้านถ้วนทั่วทุกตัวคน -------------------------------------------------- ขอบคุณเนื่อเรื่องและภาพบางส่วนจาก : |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |