เมีย"ธาริต"ฟ้อง"จตุพร"หมิ่น
เมื่อเวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มอบอำนาจให้นายธนากร แหวกวารี ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า จำเลยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำนองว่าโจทก์เรียกรับเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง 150,000 บาท โดยรับปากว่าจะช่วยเหลือคดีที่นักธุรกิจคนดังกล่าวถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง 1.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใส่ความทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายถูกเกลียดชัง ทั้งนี้ ศาลรับเป็นคดีเพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ วันที่ 6 กันยายน
ทนายเผย1.5แสนค่าบริการ
นายธนากรกล่าวถึงกรณีนายจตุพรนำสลิปการโอนเงิน 150,000 บาท ให้นางวรรษมล มาโชว์ว่า ยอมรับว่ามีการโอนเงินกันจริง แต่เงินดังกล่าวไม่ใช่เงินสินบน เป็นเงินค่าบริการบางอย่าง ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในชั้นนี้ ซึ่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเราเตรียมพยานไว้ 2-3 ปาก โดยคุณวรรษมลจะขึ้นเป็นพยานเบิกความด้วยตัวเองเป็นปากแรก
ด้านนายจตุกรกล่าวว่า ตนพร้อมจะสู้คดี ก็มีใบโอนเงินที่ได้รับมาจากผู้ร้องเรียนเป็นหลักฐาน
นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพรระบุว่า ภรรยานายธาริษวิ่งเต้นเพื่อลบข้อมูลผู้เสียภาษีของกรมสรรพากรว่า ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะระบบการเข้าถึงข้อมูลผู้เสียภาษีของกรมสรรพากรมีระบบป้องกันที่ดี การดูข้อมูลผู้เสียภาษีจะมีรหัสให้กับข้าราชการตั้งแต่ระดับ 7 และแบ่งเป็นแต่ละสำนักสรรพากรพื้นที่ สรรพากรภาค และกรม ซึ่งรหัสจะถูกล็อคแตกต่างกันแต่ละพื้นที่ และการเปิดเผยข้อมูลผู้เสียภาษีถือว่าผิดกฎหมายด้วย
เปิดตัว"เฮียเม้ง"คนโอน1.5แสน
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายธีรชัย ธำรงพงศกร หรือ "เฮียเม้ง" เจ้าของบริษัทมังกรเหิรฟ้า ซึ่งเป็นผู้โอนเงิน 1.5 แสนบาท เข้าบัญชีนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ เข้าพบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค พท.เพื่อขอคำแนะนำทางกฎหมาย จากนั้นจึงแถลงข่าว โดยก่อนการแถลงข่าวนายธีรชัยได้จุดธูปเทียนไหว้พระสาบานว่าทุกอย่างที่แถลงเป็นความจริง หากไม่จริงขอให้มีอันเป็นไปใน 1 สัปดาห์หรือ 1 เดือน แต่หากใครนำข้อความของตนไปดัดแปลง ก็ขอให้ฉิบหาย มีอันเป็นไปทั้งครอบครัว
จากนั้นนายธีรชัยกล่าวว่า ตนทำธุรกิจเป็นฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการจัดงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเช่าโต๊ะ เก้าอี้ เต๊นท์ ใครจะจัดงาน แล้วต้องการอุปกรณ์เหล่านี้ ก็จะไปติดต่อจัดหามาให้ ตนจบแค่ป. 4 ไม่รู้เรื่องกฎหมายภาษี ทำมาหากินอย่างเดียว เวลาเก็บเงินก็เก็บเงินสด แต่จะถูกหักครั้งละ 3-5% ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นการเสียภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่พอมาปี 2551 กรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งมาว่าเมื่อปี 2550 ตนมีรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท และต้องเสียภาษี 1.7 ล้านบาท ตนตกใจมาก ถึงบอกว่ามีรายได้ 5 ล้านบาท แต่ไม่ใช่กำไรทั้งหมด ต้องมีส่วนที่จ่ายมัดจำหรือค่าเช่าอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งจ่ายเป็นเงิดสดทั้งหมด ไม่เคยขอใบเสร็จ จึงไปปรึกษาคนนั้นคนนี้
ยันจ่ายเมีย"ธาริต"แลกเลี่ยงภาษี
นายธีรชัยกล่าวว่า ลูกชายของตนซึ่งทำงานเป็นครูสอนฟิตเนส ที่เอสพลานาดรู้จักสมาชิกฟิตเนสคนหนึ่งชื่อกุ้ง ก็แนะนำว่ามีน้องชายชื่อกวาง หรือนายรักพงษ์ สุรนาคะพันธ์ ทนายความสำนักงานกฎหมาย-บัญชี ไอที แนะนำว่ามีญาติอทำงานที่กรมสรรพสามิต ชื่อนางวรรษมล จากนั้นจึงนัดพบนางวรรษมล ครั้งแรกที่ห้างจัสโก้ รัตนาธิเบศร์ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นห้างเซ็นทรัลแล้ว ครั้งที่ 2 ไปที่บ้านหลังวัดดอนเมือง ซึ่งนางวรรษมลบอกว่าทำงานอยู่กรมสรรพสามิต แต่รู้จักกับหัวหน้าสรรพากร บางกระปิ ซึ่งเป็นที่อยู่ของตน จึงปรึกษาว่าจะขอลดหย่อนอะไรได้บ้างหรือไม่ เพราะถ้าเก็บ 1.7 ล้านบาทไม่ไหวจริงๆ
นายธีรชัยกล่าวว่า อีก 2 วันเขาก็โทรศัพท์มาหา บอกว่าเจ้านายบอกขอค่าดำเนินการ 1 แสนบาท ตนก็บอกว่า 1 แสนบาทก็ต้องไปกู้เขามา เขาก็บอกว่าลองคิดดูแล้วกันว่าเงิน 1 แสนบาทแลกกับ 1.7 ล้านบาท คุ้มหรือไม่ ตนก็พยายามหาเงินกู้ จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ก็ได้เงินกู้ พอติดต่อกลับไปเขาบอกว่า 1 แสนบาทไม่พอแล้ว ขอเพิ่มเป็น 1.5 แสนบาท ตนก็ต้องกู้เพิ่ม แล้วจ่ายคืนให้นายทุนเดือนละ 2 หมื่นบาท 10 เดือน เท่ากับว่าตนต้องจ่ายเงินกู้ 2 แสนบาท หลังจากพูดคุยแล้วเรียกเงินค่าดำเนินการ 1 แสนบาท นางวรรษมลได้เขียนชื่อธนาคาร ชื่อบัญชี และเลขบัญชี รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ใส่เศษกระดาษให้ตนด้วย
อ้างลบข้อมูลภาษีให้ไร้หลักฐาน
นายธีรชัยกล่าวว่า เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ตนก็ถามหาหลักฐานที่ระบุว่าลดหย่อนภาษี หรือไม่ต้องจ่าย เขาก็บอกว่าหลักฐานไม่มี เพราะเขาใช้วิธีลบข้อมูล โดยจะลบข้อมูลว่าตนเคยมีเงินได้ 5 ล้านบาทออก ก็จะไม่มีหลักฐานต้องเสียภาษี ตนเรียนแค่ ป.4 ก็นึกว่าทำได้จริง จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปกว่า 1 ปี ช่วงนั้นตนย้ายบ้านมาอยู่เขตคลองสามวา พอถึงปลายปี ก็มีหนังสือจากสรรพากรมีนบุรี แจ้งมาว่าตนยังไม่ได้ชำระภาษี 1.7 ล้านบาท ก็ตกใจ จึงให้คนทำบัญชีไปยื่นเรื่องต่อสรรพากรมีนบุรี เพราะหลังจากมีเรื่อง ตนก็จดทะเบียนบริษัทให้ถูกต้อง มีผู้ทำบัญชี เมื่อเจรจากันเสร็จสรรพากร ก็บอกว่าลดหย่อนภาษีให้ได้เหลือ 7 แสนบาท หลังจากนั้นตนก็ผ่อนชำระภาษีเดือนละ 4 หมื่นบาท กับกรมสรรพากร
นายธีรชัยกล่าวอีกว่า หลังสรรพากรมีหนังสือมาถึง ตนพยายามติดต่อนางวรรษมล เพื่อสอบถามว่าทำไมเรื่องเป็นอย่างนี้ เมื่อลดหย่อนภาษีได้แล้ว จึงขอเงิน 1.5 แสนบาทคืน แต่นางวรรษมลบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จนกระทั่ง ส.ส.พรรค พท.ไปปราศรัยที่สวนสยาม ตนจึงเอาข้อมูลไปร้องเรียนต่อนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.ในพื้นที่ แล้วนายวิชาญก็แนะนำให้เอาข้อมูลไปให้นายจตุพร ตนก็ไปบอก และนายจตุพรก็เอาไปปราศรัยบนเวทีเลย เรื่องมันเป็นอย่างนี้
รับกลัวแต่ลั่นพร้อมขึ้นหลังเสือ
นายธีรชัยกล่าวว่า หลังมีข่าวออกไปก็ได้รับการติดต่อจากนายรักพงษ์ ทนายความที่แนะนำให้ตนรู้จักกับนางวรรษมลว่าขอพูดคุยกันหน่อย แล้วจะคืนเงินให้ โดยนัดตนไปพบที่ห้างโลตัส แถวเลียบทางด่วนรามอินทรา แต่ตนไม่กล้าไปพบ เพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เงินก็อยากได้คืน แต่หากมีลูกเล่นแล้วใส่ความตนอีกจะทำอย่างไร ถ้าถามว่าทำไมตนไม่ยื่นเรื่องตามกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องบอกว่าไม่กล้ายื่น เพราะกลัวและไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในเวลานี้ จริงๆ ตนก็ไม่อยากรบกับเขาหรอก แต่เมื่อเห็น ร.ต.อ.เฉลิมรบกับนายธาริตอยู่ก็เลยเอาเรื่องนี้มาให้ แล้วก็พร้อมจะขึ้นหลังเสือด้วยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมที่จะไปเป็นพยานในคดีที่นายจตุพร ถูกนางวรรษมลฟ้องหมิ่นประมาทหรือไม่ นายธีรชัยกล่าวว่า หากต้องเป็นพยานก็พร้อมให้การตามข้อเท็จจริงทุกอย่าง เมื่อถามว่ากังวลความปลอดภัยของตัวเองหรือไม่ นายธีรชัยกล่าวว่า กลัว เพราะงานของตนต้องออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่คิดว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย คนที่พูดความจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องคุ้มครอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวนายธีรชัยได้นำกระดาษที่อ้างว่าเขียนด้วยลายมือของนางวรรษมล ที่ระบุข้อความว่า B.ไทยพาณิชย์/สาขา เทสโก้ โลตัส รังสิต ชื่อนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ เลขที่ 370-208312-4 Tel.(081)713-2142 รวมทั้งเอกสารการผ่อนชำระภาษีของบริษัทมังกรเหิรฟ้า เดือนละ 4 หมื่นบาท มาแสดงต่อสื่อมวลชนด้วย