เปิดเทอมมา เอ้ย เปิดบล็อกมา ก็เจอคำทวงผ่านบล็อก ว่า Tag ... Tag ... Tag จากคุณนกฮูก Visitor สาวผู้นอนดึก คราวนี้บอกว่า เป็นTag สายพันธุ์ใหม่ เรื่องหนังสือ ประมาณว่า "บอกมาเดี๋ยวนี้ มีหนังสืออะไรแนะนำมั่ง บอกมา 2 เล่มซิ" อย่าช้า (แว่วเสียงสำทับตามมา) 5 5 5 ป๋มใส่ไข่ไปเยอะ ความจริง คุณ Visitor เค้าก็เขียนเชิญชวนมาออกจะไพเราะ
เอาเป็นว่า หลังได้รับคำเชิญชวน memory น้อยๆ ก็เริ่มทำงาน ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก จะแนะนำเรื่องอะไรดีเนี่ยะ เรื่องนั้นก็ดี เรื่องนี้ก็ชอบ เพราะป๋มเป็นคนอ่านหนังสือได้หลายแนว ทั้งวรรณกรรมเยาวชน อย่างคุณพ่อขายาว , ทอม ซอว์เยอร์ ผจญภัย, แมงมุมเพื่อนรัก หรือจะแนวสืบสวนสอบสวน อย่าง มหกรรม Sherlock Holmes เจอเมื่อไหร่ เป็นคว้ามาอ่านทุกทีไป ขนาดเล่มหนา ๆ คืนเดียวก็อ่านเกือบจบไม่หลับไม่นอน หรือจะเป็นแนวหนังสือรางวัล เรื่องสั้น เรื่องยาว นวนิยาย จะพันธุ์หมาบ้า หรือ ชุดน้องเล็กยังร้ายอยู่ นิทานTolstoy หลั่งเลือด บาบิโลน ชาวเขื่อน หรือแม้แต่ War and peace ที่จนป่านนี้ยังอ่านไม่จบ .....
คิดไป คิดมา เลยเลือกหนังสือที่เป็นสุดๆ ของตัวเอง มาแนะนำแล้วกัน
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ เรื่องแรก บ้านเล็กในป่าใหญ่ : Little house's series ของ Laura Ingalls Wilder

ด้วยเพราะเรื่องนี้ เป็นหนังสือซีรีส์ ที่อ่านจบเป็นครั้งแรก จำได้ว่าตอนนั้นยังเด็กมากๆ แล้วไปยืมจากห้องสมุดโรงเรียนอ่าน จนครบ 8 เล่ม ภายใต้การอุปถัมภ์ของ "สุคนธรส" ที่บรรจงแปลให้ป๋มได้อ่านในภาษาไทย ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ได้อ่านหนังสือดีๆ อย่างนี้หรอก
หนังสือชุด"บ้านเล็ก" รวบรวมพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์รวมสาส์น ในปี 2507 และได้รับความนิยมอย่างมาก จนต้องพิมพ์แล้วพิมพ์อีกตั้งหลายครั้ง แต่ภาพที่นำมาให้ดู เป็นภาพจากชุดภาษาอังกฤษ เพราะมันดูสวยดี อิ ๆ ๆ
 Laura Ingalls Wilder เกิดเมื่อปี ค.ศ.1867(พ.ศ.2410) ในกระท่วมเล็กๆ ทำด้วยไม้ซุง ชายป่าใหญ่ รัฐวิสคอนซิน
หนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ทั้งหมด 9 เล่ม แต่ที่ป๋มมีจะรวมเล่ม 1-2 ไว้ด้วยกัน(เป็นปกแข็ง) - บ้านเล็กในป่าใหญ่ : Little House in the big Woods - บ้านเล็กในทุ่งกว้าง : Little House on the Prairie - เด็กชายชาวนา : Farmer Boy - บ้านเล็กริมห้วย : On the Banks of Plum Creek - ริมทะเลสาบสีเงิน : By the Shores of Silver Lake - ฤดูหนาวอันยาวนาน The Long Winter - เมืองเล็กในทุ่งกว้าง : Little Town in the Prairie - ปีทองอันแสนสุข : These Happy Gloden Years - สี่ปีแรกและตามทางสู่เหย้า : The First Four Years
เรื่องราวของวรรณกรรมชุด "บ้านเล็กในป่าใหญ่"บอกเล่าเรื่องราว ที่สนุกสนาน สะท้อนความรู้สึกของเด็กๆ อย่างแท้จริง มีทั้งรัก มีทั้งอิจฉา มีทั้งความซุกซน มีทั้งความอยากรู้อยากเห็น และมีทั้งความเศร้า
ครอบครัวของลอร่า อาศัยอยู่ในรัฐวิสคอนซิน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นป่าเปลี่ยว ดินแดนของสิงสาราสัตว์ การยังชีพเป็นไปอย่างแร้นแค้นบ้าง สะดวกสบายบ้าง ตามสภาพของธรรมชาติ นับตั้งแต่การอยู่กระท่อมเล็กๆ ทำด้วยไม้ซุง ตกค่ำ พ่อจะเล่นซอให้ลูกๆฟัง ..... การอพยพเดินทางจากวิสคอนซิน โดยอาศัยเกวียน ผ่านไปรัฐแคนซัส มินนิโซต้า และดาโกต้า อ้อ...เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่สอดแทรกไว้ ก็น่าสนุก แม้แต่เรื่องการทำลูกกวาด การถนอมเนื้อสัตว์ เพราะสมัยนั้นไม่มีตู้เย็นนินา
ส่วนที่ชอบอีกอย่างคือ การได้เรียนรู้ความเป็นชนบทของอเมริกา มันมีกลิ่นกรุ่นของการต่อสู้ ความซุกซนแบบสุดๆ Laura เล่าได้น่าอ่าน น่าติดตาม และป๋มก็แอบลุ้นเธอให้ชนะใจอัลแมนโซอีกต่างหาก เพราะชอบความเป็นเธอนั่นเอง ถ้าสมัยนี้ อาจจะเข้าข่าย แก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่า แถมซุกซนให้อีก นอกเหนือจาก 8 เล่มข้างบนแล้ว ยังได้ตามอ่านต่อในวรรณกรรมที่ Rose Wilder ลูกสาวของ Laura และ Almanso ได้บันทึกไว้อีก และ Roger Lea MacBride หลานบุญธรรมของโรส เป็นผู้เรียบเรียงขึ้นมา อีก 2 เล่ม ซึ่งเป็นการเรียบเรียงให้หลังวรรณกรรม"ชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่" ถึง 60 ปี
- บ้านเล็กบนเนินหิน : Little House on Rocky Ridge - ฟาร์มน้อยกลางขุนเขา : Little Farm in the Ozarks บอกเล่าเรื่องราวช่วงสร้างอนาคตใหม่ ครอบครัวของลอร่า-แอลแมนโซ ตอนนั้นโรสอายุ 7 ขวบ ต้องดั้นด้นเดินทางกันอีกครั้ง เพราะที่เก่าเจอภัยแล้ง ไฟไหม้ เนื้อเรื่องบรรยายการเดินทางโดยเกวียนจากดาโกต้า ผ่านไปจนถึงมิซซูรี่ ดินแดนแอปเปิ้ลแดงผลใหญ่ เป็นช่วงที่ครอบครัวใหม่อยู่ระหว่างตั้งตัว ต้องทำงานหนัก ส่วนโรสก็เริ่มเข้าโรงเรียนเป็นเด็กใหม่ในชั้น ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ส่วนเล่มที่ 2 ที่อยากแนะนำก็คือ "ตลิ่งสูง ซุงหนัก" ของคุณนิคม รายยวา เป็นหนังสือซีไรท์เล่มแรกที่อ่าน แล้วก็ทำให้หยุดอ่านหนังสือซีไรท์จนถึงปัจจุบัน
"คนเรานั้นมัวแต่รักษาซากที่ไม่มีชีวิต ไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย"
ตลิ่งสูง ซุงหนัก ได้รับรางวัลซีไรท์ หรือรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี 2531 และรางวัลดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ในปี 2527 ปีแรกของการพิมพ์ออกมา นอกจากนี้ ยังแปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อ High Banks, Heavy Log โดย Richard C. Lair
ตลิ่งสูง ซุงหนัก ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการตัดสินว่า "เป็นเรื่องของคนผู้แสวงหาความหมายและคุณค่าของชีวิต และพบว่า ทุกคนมีการเกิดและความตายอย่างละหนึ่งหนเท่ากัน แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างกลางนั้นเป็นชีวิต เราต้องหากันเอาเอง"
ตลิ่งสูง ซุงหนัก เป็นเรื่องราวความผูกพันระหว่างคนกับช้าง คือ คำงาย กับพลายสุด ช้างที่พ่อต้องขายเพื่อเอาเงินมารักษาตัว คำงายได้แต่แกะสลักช้างไม้เป็นตัวแทนพลายสุด และด้วยความคิดพลายสุด คำงายลงทุนไปสมัครเป็นควาญช้าง เพื่อดูแลพลายสุด แล้วทั้งคู่ต่างก็ต้องลากซุงตามหลังตัวเอง พลายสุดลากซุงไม้ ส่วนคำงาย ลากความอดอยาก หิวโหย เขาพยายามทำงานอย่างขันแข็ง ขณะเดียวกัน ก็ไม่ลืมที่จะแกะสลักช้างไม้ ด้วยหวังจะใช้มันแลกกับพลายสุด แต่ทุกอย่างก็จมอยู่กับความสูญเสีย เขาต้องเสียช้างแกะสลักที่นายทุนมายกเอาไป แล้วสุดท้ายชีวิตของเขาและพลายสุดก็ต้องจบลงตามซุงที่ลากทั้งพลายสุดและคำงาย ม้วนกลิ้งตกตลิ่งสูงไปด้วยกันทั้งคู่ หนังสือเล่มนี้ สำหรับตัวเองบอกได้ว่า อ่านแล้วเศร้าฝังลึกจริงๆ เพราะหลังอ่านจบไปเป็นอาทิตย์แล้วก็เถอะ ป๋มยังไม่หายเศร้าเลย จนสุดท้ายป๋มขยาดไม่กล้าหยิบหนังสือแนวๆ นี้มาอ่านอีก เพราะแค่ขนาดเขียนถึง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหวงๆ ด้วยถ้อยคำที่ใช้ การผูกเรื่องราวที่สะท้อนถึงสังคมของการเอาเปรียบ ความยากจนที่ทำให้หลายชีวิตไม่มีทางเลือก คุณนิคม จะรู้บ้างมั๊ยเนี่ยะว่าคุณทำร้ายจิตใจป๋มขนาดนี้ แต่คุณก็เติมเต็มหัวใจป๋มด้วยความรักในชีวิตและจิตวิญญาณของสิ่งต่างๆ รอบตัว
คุณนิคมเองก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขียนจากเรื่องในใจที่เก็บกดไว้ตั้งแต่อายุ 16 ปี ตอนนั้นเห็นช้างลากซุงขึ้นจากตลิ่งแม่น้ำยม บ้านเกิดของเขา แต่ซุงหนักมาก ควาญก็ต้องสับตะขอ บังคับให้มันพยายาม แต่สุดท้ายตลิ่งพัง มันเป็นภาพติดตา ที่เขาบอกแต่ว่า เขียนใส่กระดาษไว้"ช้างตกตลิ่ง"
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ เล่มแถม .... "เกาะโลมาสีน้ำเงิน" หรือ "Island of The Blue Dolphins" แต่งโดย Scott O' Dell เล่มนี้คิดแล้วคิดอีกว่าน่าจะอยู่ในหนังสือแนะนำหรือเปล่า แต่เมื่อให้โจทย์มา 2 เล่ม งั้นแถมให้อีกเล่มแล้วกัน บอกแล้วว่าป๋มใจดี

หนังสือเล่มนี้ เตะตาที่ปกดูเรียบง่ายสะอาด พออ่านจบ ก็เกิดความคิดในใจ"การล่า นำมาซึ่งความโหดร้ายเสมอ" ลงท้ายป๋มอยากเลี้ยงหมาป่าสักตัว พับผ่าเถอะ
เกาะโลมาสีน้ำเงิน แปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 23 ภาษา และเป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมในรอบ 200 ปี ของสมาคมวรรณกรรมเยาวชนอเมริกา ตีพิมพ์ครั้งแรก ในปี 2503 หรือเมื่อ 47 ปีที่แล้วสำหรับภาษาไทยแปลโดย วิลาวัณย์ ฤดีศานต์ พิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน ในปี 2546
เกาะโลมาสีน้ำเงิน เป็นเกาะรูปร่างเหมือนปลาตัวโตๆ นอนอาบแดดอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก รอบเกาะมีโลมาสีน้ำเงิน นากทะเล แมวน้ำ และเป็นเกาะที่โดดเดี่ยว การานา เด็กหญิงชาวอินเดียนแดง ที่ถูกทิ้งอยู่ที่เกาะกับน้องชายเพียง 2 คน ขณะที่พ่อแม่ คนอื่นๆ บนเกาะถูกฆ่าตายโดยนักล่าผิวขาว ที่เหลือส่วนใหญ่ก็อพยพไปหมด แล้วท้ายที่สุด น้องชายเธอก็ตายเพราะหมาป่า เธอต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว เพื่อความอยู่รอดของเธอเอง ทั้งการยังชีพ และการต่อสู้กับฝูงหมาป่า ขณะเดียวกัน ธรรมชาติรอบๆ ตัวเธอก็ช่างงดงาม ยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร ...
เรื่องนี้ป๋มอ่านไป ร้องไห้อีกตะหาก ไม่ว่าจะเป็นตอนน้องชายเธอตาย หมาป่าของเธอตาย กระทั่งตอนจบของเรื่องน้ำตามันไหลออกมาเองซะงั้น มันมีทั้งความประทับใจกับการดิ้นรนต่อสู้ของเด็กผุ้หญิง ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา ที่ผุดขึ้นมาในหัวป๋ม แล้วยังเก็บไปนอนคิดไปไกลอีกหน่อยอย่างเศร้าๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอ นี่ก็กะว่าจะเขียนจดหมายไปทวงตังค์จากลุง Scott ซะหน่อย โทษฐานที่ทำให้ป๋มเสียตังค์ แล้วยังเสียน้ำตาอีก 5 5 5
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่อิงจากเรื่องจริง "ผู้หญิงที่ถูกลืมแห่งซาน นิโคลัส" ช่วงปี 1835-1853 เป็นเวลาถึง 18 ปี ที่เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งบาดหลวงกอนซาเลส ไปพบ และช่วยเหลือมา โดยที่บาดหลวงและเธอสื่อสารกันด้วยภาษากายเท่านั้น เพราะอินเดียนแดงเผ่านี้ ตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ไปนานมาก เรื่องราวบอกเล่าเกี่ยวกับตัวเธอเองจึงมีน้อยมากทีเดียว ...ดูซิ อย่างนี้อ่านแล้วจะไม่ทำให้ป๋มเศร้าได้ไง ชีวิตคนทั้งชีวิตเชียวนะ
เกาะโลมาสีน้ำเงิน เกาะนี้มีชาวอินเดียนแดงไปตั้งถิ่นฐานครั้งแรก ราว 2000 ปีก่อนคริสตกาล แต่คนขาวเพิ่งค้นพบในปี ค.ศ.1602โดยนักสำรวจชาวสเปนชื่อ เซบาสเตียน วิซคาอิโน ที่เดินทางจากเม็กซิโก เลียบขึ้นเหนือตามชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย และตั้งชื่อว่า ลา อิสลา เด ซาน นิโคลัส แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ แคลิฟอร์เนียเปลี่ยนชื่อเกาะนี้ และเมื่อนั้นนักล่าคนขาวที่เรียกขานตัวเองเป็นอเมริกัน ก็ไปเยือน ..... อยากจะคิดเหลือเกินว่า ปัจจุบันนักล่าผิวขาวก็ยังกำลังดำเนินอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการล่า และการยึดครอง
ทั้ง 3 เล่ม อ่านแล้วคุ้มค่าจริงๆ ขอเพียงอ่านด้วยใจ และจินตนาการของตนเอง หลังจากที่คิดไป คิดมา พลิกซ้ายคิด พลิกขวาคิด ตีลังกาคิด ก้ได้คนส่งไม้ต่อมา 5 ท่าน ดังมีรายนามต่อไปนี้
ท่านแรก .... คุณPatijjachon บุรุษผู้มีข้อคิดการดำเนินชีวิตที่น่าสนใจ คราวนี้มาให้ป๋มรู้จักนิสัยจากหนังสือหน่อยเถอะขอรับ *** มาส่งการบ้านแล้วคร๊าบบบ http://www.oknation.net/blog/patijjachon/2007/07/10/entry-1
ท่านที่ 2 ... คุณ RVM - RearViewMirror ช่วยเป็นกระจกส่องทางผ่านตัวอักษร แทนเส้นเสียงดนตรีเสียหน่อยนะขอรับ *** ส่งการบ้านแล้วคร๊าบบ *** http://www.oknation.net/blog/rearviewmirror/2007/07/07/entry-1
ท่านที่ 3 .... คุณ Hooknoi คุณชอบการเดินทางเหมือนป๋ม มาจากเว็ปเดินป่าฮาร์ดคอร์อีกตะหาก แต่ป๋มรู้ว่าเราน่าจะอ่านหนังสือคนละแนว 5 5 5 *** ส่งการบ้านแล้วคร๊าบบบบ *** http://www.oknation.net/blog/hooknoi/2007/07/05/entry-1/comment
ท่านที่ 4 คุณอมตะแห่งกาลเวลา .... รบกวนช่วยแนะนำหนังสือแก่ป๋มหน่อยนะขอรับ http://www.oknation.net/blog/amatahappy
ท่านสุดท้ายไตรมาสนี้ ... คุณ Feng_shui เจ้าหญิงแห่งความหลากหลาย(แนว)ของโผมม... นี่คิดแล้วคิดอีกนะ กลัวจะเจอTag จนเบื่อ ยังไงแนะนำหนังสือให้ป๋มสัก 2 เล่มนาฮับ *** ส่งการบ้านแล้วฮับ *** http://www.oknation.net/blog/buzz/2007/07/06/entry-1
|