ป่าพะโต๊ะ .ป่าผืนนี้ แม้จะไม่สูงชัน ที่ท้าทายนักพิชิตยอดเขาสูง ไม่ใช่ป่าดิบชื้น ไม่ใช่ป่าโบราณ ที่เราจะเห็นต้นไม้ใส่เสื้อ แต่ก็เป็นแหล่งต้นน้ำ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไม่น้อย ทั้งในจ.ชุมพร, ระนอง และส่วนหนึ่งไหลไปลงที่เขื่อนเชี่ยวหลาน จ. สุราษฎร์ธานี และป่าผืนนี้ยังมีความหลากหลาย และเรื่องราวแห่งชีวิตที่ต้องจดจำไปชั่วนาน
ทริปนี้เป็นทริปที่ 2 ของการเดินป่าอย่างจริงๆ จังๆ ป๋มเลือกไป ป่าสงวนแห่งชาติพะโต๊ะ จ.ชุมพร ตามคำเชิญชวนในTKT เดินสบาย ๆ 1 วัน กับล่องแพอีก 2 วัน อย่างนี้พอลุ้น เพราะข่าวว่า ที่นี่ดงทากง่ะ ประสาป่าดิบชื้น และยังเป็นป่าต้นน้ำหลังสวนตอนบนอีกตะหาก แล้วเราทั้ง 9 ชีวิต ก็ขึ้นรถจากหน่วยต้นน้ำ ไปบ้านในหยาน ระหว่างทาง เห็นยอดเขาพ่อตาหลวงแก้ว ผ่านน้ำตกเหวโหลม (ที่น่าไปเดินชะมัด) เลยเข้าไปที่บ้านในปิ จอดส่งเราขึ้นเป้ที่ชายป่า ซึ่งพี่กบ..แก่งกระจาน คะเนว่า ต้นตระกูลคนที่นี่ น่าจะชื่อ นายปิ ต้องลองไปสืบหาดูว่า ใครสืบทอดตระกูลมา เฮ้อ แดดร้อนจัง ฝนไม่ตก ทำให้เรา(คนกลัวทาก) แอบดีใจลึก ๆ อย่างน้อยทากมันคงไม่ออกมาเริงร่ารับแสงแดดซักเท่าไหร่หรอกน่า แต่แหมม ที่น่าเจ็บใจ ก็เจ้า "ต้นคอฟฟี่เมท" นี่แหล่ะ ใครเคยได้ยินบ้างหว่า เค้าว่านำเข้าจากชิลีเชียวนะ ที่นี่เค้าปลูกกาแฟ แล้วก็ต้องปลูกคอฟฟี่เมท คู่กันไป" พี่เชษฐ์บอก เรารึ ก็มองว่ามันเหมือนต้นมังคุดนี่นา แต่ไอ้ครั้นจะเถียงคนพื้นที่ ที่เล่นพูดเป็นเสียงเดียวกันทั้งทีม ก็เขวซิ คิดไปคิดมา น่าจะถูกอำ ก็เดินเลยเถิดเข้าชายป่าไปโน่นกันแล้ว จากจุดชายป่านี้ เราจะตัดขึ้นเขาด้านขวามือ ผ่านป่าไผ่ สูงขึ้น สูงขึ้น ทางค้อนข้างลื่น เพราะใบไม้แห้งเยอะ แล้วก็ไม่ค่อยมีต้นไม้ให้เกาะ ยกเว้นต้นไผ่ จุดนี้ เรามีต้นใม้ใหญ่แซม สะตอป่า ต้นยาง ต้นเหลียง เราเดินลัดเลาะไปตามด่านสัตว์ สายตาก็มองต่ำบ้างสูงบ้าง ที่มองต่ำ ก็เพราะไม่อยากไปเหยียบเจ้าที่เค้าน่ะ แต่เหลือเชื่อ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คราวนี้ทากน้อยที่สุด เท่าที่เคยเจอมา กว่าจะรู้ว่ามีทาก ก็โน่น เดินกันไปหลายชั่วโมงแล้ว เพราะพี่กอล์ฟ ถูกกัดก่อน รวม ๆ แล้ว เท่าที่เห็นไม่น่าจะถึง 10 ตัว ระหว่างทาง เราเดินไป พักไป ดูนกไป ดูล่องรอยสัตว์ไปด้วย อ้อ .เจอแอ่งหมูป่า รอยสมเสร็จก็มี ขี้ช้างก็ด้วย เขาที่นี่ไม่สูงเท่าไหร่ เดินสบาย ๆ เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นช่วงแรก ที่เดินขึ้นค่อนข้างชัน..เหนื่อย เราไปพักตรงต้นชะมวงยักษ์บนสันเขา ช่วงเกือบ ๆ เที่ยง พวกเราลองจับมือกับโอบรอบต้น ปรากฏว่า ได้ตั้ง 7 คนโอบ ....ตรงจุดนี้ ปล่อยคนสูงอายุ แข่งกันโหนเถาวัลย์พักหนึ่ง ก่อนจะออกเดินกันไปหาที่เหมาะ ๆ นั่งกินข้าวเที่ยงกัน มื้อนี้กินได้ไม่เยอะเหมือนเคย ตามประสาเหนื่อยจัด ก็ได้น้ำร้อนจากกระติกคู่ใจ ที่เราจะหอบหิ้วไปด้วยทุกที่ ชงกาแฟกิน อีก 1 จอก ฮืมม ชื่นใจ จุดแวะพักกินข้าวเที่ยง เริ่มมีเรื่องเล่าขานทยอยออกมาเป็นระยะ แล้วเราก็ได้รู้ว่า พี่เชษฐ์ เคยพาทริปสำรวจ รวมถึงทริปพี่กัณฑ์ คนแบกเป้ หลงป่าพะโต๊ะมาแล้ว พี่แกเล่าว่า พาเดินวนเวียนไปมา กว่าจะถึงที่พักปาเข้าไปทุ่มกว่า ตื่นเช้ามาถึงได้รู้ว่า ไอ้ที่หลงน่ะ อยู่ห่างจากจุดพักแค่ 10 ก้าวย่าง ฮา ส่วนอีกทริป เคยพาฝรั่งเดินหลงป่า กระทั่งคุณเธอทนเสื้อผ้าเสียดสีไม่ได้ เดินไปถอดไป จนเหลือแต่ชิ้นสำมะคัญ ปิดข้างบนกะข้างล่าง โห..มุขนี้พี่แกเด็ดว่ะ (แกล้งหลงแหง ๆ ) เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ก็เคยมาหลงป่าพะโต๊ะ จนแต่งหนังสือได้เล่มหนึ่งเชียว จุดนี้กินข้าวเสร็จ หลายคนลงงีบกันหน่อย ท่ามกลางเสียงนกร้อง บางตัวแอบเผยโฉม มาหยอกล้อกับพวกเราเป็นระยะจากจุดพักเที่ยง เราเดินกันอีกราว 2 ชั่วโมง บุกป่าไผ่ ไม้ยาง ผ่านร่องรอยของสัตว์ป่า แอ่งหมู่ป่า กองอึสมเสร็จ รอยนี้ยังไม่เก่านะ แสดงว่ามันออกหากินแถวนี้ด้วย น้องกอล์ฟ ผู้เชี่ยวชาญบอก เดินไปได้ไม่นาน เราก็ทึ่งกับรอยดินบนต้นไม้เหนือหัวเรา เลยปลายเอื้อมไปอีก รอยเจ้าช้างป่านั่นเอง แอบมาอาศัยใช้เป็นไม้เกาสีข้างให้นั่นเอง พี่กบ ที่ตัวสูงกว่าเราตั้งเยอะ ยังต้องใช้ไม้ชี้จึงจะถึงรอย . ระหว่างทางเรายังเห็นรอยเล็บหมี ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้สูง แหม..ตัดหน้ามาเก็บน้ำผึ้งไปก่อนเราซะได้ ดีนะที่ไม่เจอกัน ไม่งั้นฮึม..วิ่งกันป่าราบ
พี่กบ ที่แอบงีบก่อนหน้า เดินมาดักหน้าเราได้ไงเนี่ย แล้วก็มารู้ว่า บางทีพี่แกนอนรอ เพื่อส่องนกน่ะ แต่ตะจริงเป็นคนเดินไว พี่กบเล่าว่า เจอเจ้ากาฮัง กระพือปีกผ่านไปนะ แล้วระหว่างทางที่เราเดินไป ยังเจอร่องรอยฝูงค่าง ที่เก็บลูกมะปลิงกิน 555 เสร็จเรา เก็บบ้างซิ ว่าแล้วพี่เชษฐ์ ก็จัดการแปลงกายเป็นค่าง โหนเถาวัลย์ ปีนขึ้นต้นมะปลิง(เจ้าต้นนี้ก็กะไรเลย ไม่มีกิ่งก้านด้านล่างเลย) โหนขึ้นไปสูงขนาดแหงนคอตั้งบ่า แล้วพี่เชษฐ์ก้จัดการปลิด โยนลงมา พร้อมกับเขย่าไปด้วย เราพื้นล่างก็คอยหลบไปเก็บไป อา..เย็นนี้ น้ำพริกมะปลิง เมนูหนึ่งละ เราเดินไปตามสันเขา ขึ้นลงไม่สูงชันมาก ผ่านไปราว 6 เนินได้ คราวนี้เริ่มเดินลง เจอลานราบกว้างพอประมาณ อา .ลานพ่อหนุ่มนกหว้าสำหรับพลอดรักกะสาวนั่นเอง แต่ลานนี้เป็นลานร้างแล้วล่ะ เดินผ่านไปไม่นาน ได้เสียงตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เราเจออีกลานที่ยังใหม่อยู่ แสดงว่าเจ้านกหว้าจะต้องแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่านี้แน่ เจ้านกหว้า ผู้มีพฤติกรรมที่แปลกแตกต่างไปจากนกอื่น มันจะต้องมีลานพลอดรัก มีกิ่งไม้สำหรับเกาะไกวยามสวีสฮันนิมูน และจากพฤติกรรมของมันนี่แหล่ะ ทำเอาเกือบจะถูกล่าสูญพันธุ์ไป วิธีการของพรานสมัยก่อน ฟังแล้วเสียวลำคอพิลึก เค้าจะเอาไม้ไผ่ มาเหลาเป็นเหมือนใบมีดบาง ๆ สูงสักศอกหนึ่งเห็นจะได้ ไปปักไว้บริเวณลานพรอดรักของมัน เจ้าหนุ่มนกหว้า ผู้ซึ่งต้องคอยทำความสะอาด ปัดกวาดลานรัก ก็จะใช้คอถอนทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งต้นไม้ใบหญ้า แล้วก็รวมถึงไม้ไผ่ที่พรานเอาไปปักไว้ด้วย จากจุดนี้อีกไม่ได้ เราเริ่มได้ยินเสียงน้ำ แสดงว่าเราไม่หลงทางแน่แล้ว ไชโย ทริปแรกหรือเปล้าหว่า ที่ไม่หลงไปที่อื่นเสียก่อนน่ะ ก็ได้ความว่าจะเป็นอย่างนั้นซะด้วย . พ้นป่าไผ่ ดงหวาย ที่เราต้องคอยหลบหนาม ก็เจอกับห้วยกุ่ม ลำน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลไปลงคลองศอก กระแสธารใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงคนพื้นล่าง จุดนี้ เราต้องโหนต้นไม้ หย่อนตัวลงไป เพราะมันสูงมากแบบดิ่งลงไปเลย แล้วเดินข้ามน้ำลำคลองศอก ที่ลึกประมาณต้นขา ถ้าเดินลงแอ่ง ก็ถึงสะโพก ไปขึ้นอีกฝั่งที่เป็นลานกว้างพอสำหรับการแคมป์ปิ้งของเรา
ส่วนเรา สาว ๆ 2 คน เล่นน้ำกันสบายใจเฉิบ นอนให้สายน้ำพัดพาไป ก้อนหินใต้น้ำเป็นหมอนวดให้อย่างดี ฮืมมมม .สดชื่น เย็นกาย เย็นใจจังเลย เล่นน้ำได้สักพัก พี่กอล์ฟ กะพ่อพรานใหญ่ ก็ชักชวนเราเดินลุยน้ำขึ้นเหนือไปอีก เพื่อไปดูร่องรอยสัตว์ป่า เราเดินตัดน้ำที่บางช่วงค่อนข้างแรง ข้ามไปขึ้นอีกฝั่ง เจอร่องรอยคนมาตั้งห้างย่างปลา แสดงว่าที่นี่ต้องมีปลาเยอะ พี่กบยังถามด้วยว่า "เจอวัวแดง หรือกระทิง หรือตัวอะไรบ้างหรือเปล่า" เราเดินลัดเลาะสำรวจกันได้พักหนึ่ง ท้องฟ้าเริ่มมืด เราจึงกลับที่พัก และพี่กอล์ฟก็ได้ยอดผักกูด ติดมือไปกำใหญ่ ถึงที่พัก เราเล่นน้ำอีกนิดหน่อย ก่อนจะเตรียมตัวกินข้าว งานนี้สบาย ไม่ทำอะไรสักกะอย่าง ขนาดเปล ยังมีผู้ปรารถนาดี ช่วยกางให้อีก ขอบคุณคร๊าบบบ
วงสนทนาคืนนี้ ออกรสชาด ทั้งเรื่องเสือ เรื่องผี จนเราแอบหลบออกมาดูดาวดีกว่า เพราะฟ้าเปิด และเป็นคืนเดือนมืด ว๊าว ดาวเต็มท้องฟ้าเลย จน 4 ทุ่มได้มั๊ง เราถึงลงเปลนอน แต่นอนไม่หลับ ก็เลยต้องฟังเรื่องราว ความเป็นไปของป่าต้นน้ำแห่งนี้ จากวงสนทนา ..มารู้ตัวอีกที ก็มีผู้ใจดี เอาตะเกียงแก๊ส มาตั้งให้แสงสว่าง กันเราและเพื่อน กลัว และก็เพื่อความปลอดภัย...ขอบคุณอีกทีคร๊าบบบ
หลังมื้อเช้า หนุ่ม ๆ ไปช่วยกันตัดไผ่ทำแพ โดยใช้หวาย ที่น้องหนุ่มกะน้องวิ ตัดเตรียมระหว่างเดินป่าเมื่อวานนี้ รอจนหนุ่ม ๆ ถ่อแพมาถึง 3 แพ เราก็เริ่มแพ็คของ กินข้าวเที่ยง แล้วออกเดินทางกันต่อ เราตื่นเต้นจัง ก็ไม่เคยลงแพไม้ไผ่ นั่งแช่น้ำไปทั้งวันอย่างนี้นี่นา ข้าวของก็ต้องแพ็คลงถุงพลาสติกหมด ไม่งั้นเปียก . เราและเพื่อน ภายใต้การนำของพี่เชษฐ์ กะครูอ้วน ออกแพไปก่อนเป็นลำแรก ตามมาด้วย พี่กอล์ฟ พาพี่พรานใหญ่ น้องวิ ออกตัวตาม และพี่กบกับน้องหนุ่ม บวกสัมภาระ ปิดท้าย
เราพายจ้ำ พายงัด ร้องเพลงบ้าง เงียบบ้าง สายตาสอดส่องดูร่องรอยสัตว์ริมชายฝั่ง หานกบนต้นไม้ ไม้ริมน้ำแถวนี้ เป็นต้นไคร้น้ำ รากสีแดง แปลกตา บนฝั่งขึ้นไป เราจะเห็นทิวไผ่ ปะปนไปกับไม้ใหญ่ อย่างไม้ยาง อินทนิลต้นใหญ่ ออกดอกสีม่วง เห็นไปไกล กระไดลิง ก็ไม่น้อยหน้า ออกดอกสีส้ม ๆ มาแข่ง ผสมกับดอกสีขาวนวล ของชมพู่ป่า ทำให้เราอยากจะแช่น้ำอยู่ตรงนั้นซะจริง แล้วเรา 4 คนก็โดดน้ำเล่นกัน ถ่ายรูปแอ็คชั่น เด็ด ๆ ซึ่งก็ถ่ายไม่ได้มากเท่าไร เพราะกลัวเปียกน้ำ และมารู้ทีหลังว่า ฟิล์มเสียไปครึ่งม้วน เฮ้อ เราไม่ได้งัดกล้องมาถ่ายสำรองไว้ซะด้วย
ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง แพอื่น ๆ ก็ประจักษ์แจ้งว่า ควรจะอยู่ห่างจากแพเราให้มาก ๆ ฮา .พี่กอล์ฟ รีบจ้ำแพหนีเรา ล่วงหน้าไปก่อน กลัวเสียงอ่ะ ส่วนแพหลังก็ไม่ยอมจ้ำตามมา บอกให้เราไปไกล ๆ ก่อน ..55555 ขนาดหนี ยังไม่วาย ตามมาฟัง เรื่องโจ๊กตกเตียงจากแพเรา ริมฝั่งยังมีเรื่องเล่า จากแอปเปิ้ลน้ำ ที่นี่ลูกสีแดงสวยสด ขนาดกำมือใหญ่ ๆ ที่เดียว พี่เชษฐ์กระโดดไปเก็บข้างตลิ่งมาให้ดู แต่เราได้กลิ่นซะก่อน มันไม่ใช่แอปเปิ้ลนะ เหม็นเขียวจะตายชัก บอกได้ไงว่าเป็นแอปเปิ้ล แต่สีแดงสวยสดจริง ๆ แล้วก็มาได้ข้อเฉลยว่า มันคือ ลูกขี้กา.. โห ที่นี่ลูกใหญ่มาก แล้วพี่เชษฐ์นี่แหล่ะเคยหลอกเด็ก ๆ ที่มาล่องแพก่อนหน้านี้ ว่าเป็นแอปเปิ้ลน้ำ น้อง ๆ ไม่รู้คว้าได้ใส่ปากเลย ฮา..คายแทบไม่ทัน นอกจากเหม็นแล้วยังขมอีก อิ ๆ
เราล่องแพ ลัดเลาะมาตามกระแสน้ำ ผ่านแก่ง ที่เค้าบอกว่า ยากสุดแสน ก็คือ แก่งเหวพง หน้านี้น้ำน้อย เราต้องลงจากแพ เพื่อให้แพผ่านไปได้ ตามความคดเคี้ยวของก้อนหินใหญ่กลางน้ำ ที่เปิดช่องพอดีแพ ประมาณ 4 โมงเย็น เราถึงที่พัก คืนที่สอง .ห้วยปากหรุย ขนของขึ้นฝั่ง ก็ต้องอึ้ง..อึ้ง..อึ้ง ก็เป้ที่คิดว่าแพ็คดีแล้ว เปียกไปหมด ไม่พอ น้ำยังเข้าไปในเป้อีก โชคดีที่ข้างในใส่ถุงพลาสติกไว้อีกชั้น แต่อิฉันแย่หน่อย ที่เก็บของทุกอย่างแพ็คหมด ยกเว้นกระเป๋าตังค์ ทิ้งไว้ในซอกซิบของเป้ เปียกหมดเลยอ่ะ ต้องรื้อกระดาษ และเอกสารทุกชิ้นที่มีอยู่ในนั้น ออกตากกะผืนทรายที่มีไออุ่นของแดด ไม่นานก็แห้ง เฮ้อ !!
แล้วเราก็ได้ความรู้ใหม่ ในการกางฟรายชีต บนที่โล่ง ๆ ก็ด้วยการ ปักเสา 2 ต้น ห่างน้อยกว่าความยาวของฟรายชีตหน่อย ใช้เชือกโยง 2 เสา แล้วปลายเชือกแต่ละข้าง ผูกติดกะท่อนไม้ ขุดหลุมลึกสักศอก ฝังท่อนไม้โดยวางนอนตามขวาง อย่าปักตรง ๆ เค้าบอกว่าวิธีนี้กระเหรี่ยงใช้ผูกช้าง เออ ได้ผลแฮะ ใช้กางฟรายชีตได้สบาย ๆ กระทั่งเช้าแน่ะ มื้อเย็นวันนี้ เราแอบประลองฝีมือบ้าง แย่งน้องเชษฐ์ห่อข้าว ถามไถ่ได้ความว่าจะห่อแบบไหนก็ได้ จับจีบแบบข้าวต้มมัด หรือจะห่อแบบธรรมดาก็ได้ แต่สองห่อสุดท้ายเราห่อแบบขนมเทียนอ่ะ มันก็เลยกลายเป็น 2 เต้าในจานใครก็ไม่รุ (เหมือนไปหน่อย) ส่วนกับข้าวมื้อนี้ ได้กินแกงจืดวุ้นเส้นแบบแห้งในกระบอกไม้ไผ่ด้วย คล้าย ๆ ผัดวุ้นเส้น แต่เป็นเครื่องแกงจืด โอ้โฮ มีทั้งฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน ที่ต้องมัดปม กุ้งแห้ง เห็ดหูหนู
..หย่อยจัง ค่ำนี้ วงสนทนาของเรา แคบเข้ามาถึงความเป็นมาเป็นไปของต้นน้ำแห่งนี้ รวมถึงตำนานเล่าขานเรื่องของความรุนแรงในพื้นที่ การกระทบกระทั่งกัน จนกระทั่งหันมาปรองดองกันได้ รวมถึงการเข้าไปช่วยจัดการความเป็นอยู่ให้กับชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำกิน การสอนทำเกษตร 4 ชั้น รวมถึงการตั้งโรงเรียนให้ลูกหลานคนเหล่านี้ ก็แหม จะให้เด็ก ๆ เดินลงเขา 11 กิโลเมตร เพื่อไปเรียน แล้วก็เดินอีก 11 กิโลเมตร กลับบ้านตอนเย็น ก็ตายกันพอดีซี่คะ คุยกันได้ประมาณ 4 ทุ่ม เราขอตัวไปนอนเอาแรงก่อนดีกว่า ยุง แล้วก็แมลงเยอะ เราพกสเปร์กันยุงและแมลงมาด้วย แต่ก็ไม่ได้เอาออกมาฉีด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
เช้าวันสุดท้ายของการพักแรมในป่าต้นน้ำ เรานั่งทอดอารมณ์ ขณะที่พี่กอล์ฟ นั่งทอดหมู(Protien เกษตร) ทอดปลากรอบ เรานั่งดูรูปวาดของครูอ้วนไปพลาง มือหยิบปลากรอบของพี่กอล์ฟมาชิมไปพลาง จิบกาแฟตาม อ้า..อาหร่อย กิจกรรมยามเช้า ที่ห้วยปากหรุย หลังมื้อเช้า เราปฏิบัติภารกิจกับเสร็จสิ้น ก็ขึ้นเป้(ขนลงแพ) ราว ๆ 9 โมงเราเริ่มออกเดินทาง ทางน้ำกันต่อ แพใครแพมัน ลองแพมาวันนี้ ไม่ทันจะพ้นโค้งน้ำ อ้อมขุนเขา เราก็ได้ยินเสียงที่รอคอย พ้นช่วงตื่นเต้น เราก็นั่ง ๆ นอน ๆ ทอดอารมณ์บนแพบ้าง กระโดดลงน้ำเกาะข้างแพลอยไปบ้าง เสียงเพลงกลับมาเยือนอีกครั้ง วันนี้แพเราเลยกลายเป็นแพซันนี่มูน กลางแดดเปรี้ยง เราลัดเลาะมาตามน้ำ เหนื่อยก็พัก กินกาแฟ ปล่อยแพไหลตามหลังแพอื่นไปเรื่อย ๆ เราชมวิวไป กินไป สุขใดไหนจะปาน สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยทิวไม้ ..ร่องรอยสัตว์ลงกินน้ำก็มีให้เห็น "โอ้โห...ไม้ต้นนั้นใหญ่จังเลย อย่างน้อยก็ต้อง 2-3 คนโอบ" "นั่น...ไม้ล้ม" "นี่ยังพอมีหลุมพอต้นใหญ่ ๆ อยู่บ้างนะ แต่อยู่ในป่าลึก เราก็เฝ้าระวังกันตลอด ระหว่างทาง เรายังเจอ ไม้ใหญ่มาก ๆ อีกต้นหนึ่ง ล้มขวางทางน้ำ ก็มีรอยเลื่อยออกไป ก็เจ้าท่อนที่ขวางลำน้ำนั่นแหล่ะ แต่ใครเอาไป ไม่รู้ เหลือแต่โค่นบนตลิ่ง ไว้เตือนตาเตือนใจ แล้วในที่สุด แพของเราก็มาถึงจุดหมาย ที่บ้านหลางตาง เราขึ้นที่จุดนี้ 2 ลำ ส่วนพี่กบ แล่นเลยไปขึ้นที่ โดมอหังการ์ จากจุดขึ้นแพ แบกเป้ ขนของที่หนักอึ้งไปด้วยน้ำ เพราะถุงพลาสติกขาดหมด เดินไม่ไกลก็ถึงโรงเรียนบ้านหลางตาง ที่หน่วยต้นน้ำมาสร้างให้กับเด็ก โดยได้รับความช่วยเหลือ จากค่ายอาสาของมหาวิทยาลัย หลายแห่ง มาช่วยกันต่อช่วยกันเติม จนเป็นอาคารเรียน ที่นี่ มีเด็กนักเรียน 40 กว่าคน ครู 2 คน
ส่วนโรงเรียนของครูอ้วน คือโรงเรียนบ้านคลองเรือ ก็เป็นโรงเรียน ในโครงการของหน่วยต้นน้ำเหมือนกัน อยู่ห่างจากหน่วยราว 20 กิโลเมตร แต่เส้นทางเค้าบอกว่า ขนาด 4wd พันโซ่ล้อ ยังไปไม่รอด หน้าฝนนี่ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ
หลังจากเราวางข้าวของกันแล้ว ก็ไปรับพี่กบกับสัมภาระ ที่โดมอหังการ์ เดินไปราว 50 เมตร โดมนี้ เจ้าหน้าที่สร้างขึ้นเป็นที่พัก ดักจับพวกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า บางครั้งก็เป็นที่พักแรกของคนเดินป่าและชาวคณะล่องแพ ที่ชอบมาผูกเปลที่นี่ (แต่ยุงเยอะ)
หลังขนของ กินข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็ขึ้นรถ 4 WD กลับหน่วยต้นน้ำฯ แล้วก็ได้รู้ว่า 11 กิโลเมตร ที่ลงไปพื้นราบน่ะ สาหัสขนาดไหน แล้วนี่จะให้เด็ก ๆ เดิน หรือโดยสารรถลงไปเรียนกัน โธ่ ให้ครูสักคนขึ้นมาสอนเด็กน่าจะง่ายกว่าเจ้าค่ะ
เราจากมา แต่ยังหวังว่า สักวันหนึ่งเราจะไปเยือนอีก แม้จะไม่เข้าป่า แต่บ้านพักที่หน่วยก็น่าทอดอารมณ์ แถมยังจะมีโอกาสให้อาหารจระเข้ด้วย .เป็นยังไง ..อยากรู้ม๊ะ ?
ป่าพะโต๊ะ ชุบชีวิตผู้คนจำนวนมากที่ไร้ที่อยู่ ที่ทำกิน เข้ามาตั้งรกราก กว่าครึ่งหนึ่งอพยพมาจากหลายจังหวัด ทางอิสาน ป่าแห่งนี้ ถูกหักล้างถางพงไปหลายร้อยไร่ กว่าที่หน่วยต้นน้ำจะเข้าไปจัดการอย่างเด็ดขาด ด้วยการนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมชาวบ้านที่บุกรุกป่าเกือบยกหมู่บ้าน หลังจากเตือนและให้โอกาสถอยออกจากเขตป่าเป็นปี ป่านี้ เคยมีเรื่องพะบู๊ระหว่างเจ้าหน้าที่ต้นน้ำ กับผู้บุกรุก หรือพวกลอบตัดไม้ ลอบล่าสัตว์ จนเป็นข่าวโด่งดังในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อหลายปีก่อน แต่ด้วยความเข้มแข็งของหัวหน้าพงศา กับเจ้าหน้าที่หน่วยจัดการต้นน้ำ ทำให้ชาวบ้านเริ่มให้การยอมรับในที่สุด และท้ายที่สุด ก็เกิดโครงการคนอยู่-ป่ายัง ภายใต้แนวคิดการป้องกันรักษาป่าโดยให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วม มีการตั้งประชาคมคนลุ่มน้ำ ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ก็เมื่อปี 2537 แต่ถึงตอนนี้ไม้เศรษฐกิจอย่างหลุมพอ ก็ถูกลอบตัดไปเยอะแล้ว รู้มั๊ย เค้าตัดแล้วเอาไปทำอะไร พี่กอล์ฟตั้งประเด็น คืนหนึ่งริมสายน้ำที่เราอิงอาศัย *** การเดินทางไปพะโต๊ะ *** ถ้าไปกับหน่วยต้นน้ำฯ ก็ติดต่อให้หน่วยมารับ ก็น่าจะได้ ลองคุยกับเจ้าหน้าที่ชมรมนะคะ แต่ไปคราวนี้ คงไม่มีการลองแพด้วยแพไม้ไผ่อีกแล้ว แต่จะเป็นแพพีวีซีแทน เพราะ "เราขี้เกียจอธิบาย ที่จริง ถ้าเค้ารู้ธรรมชาติของไผ่ ก็คงเข้าใจ" อืมมมม.... สงกรานต์ '51 เจอกันนะ ...ป่าต้นน้ำพะโต๊ะ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
โมโกจู | ||
![]() |
||
เดินทางไกลเพื่อหินเรือใบ |
||
View All ![]() |
เปรโต๊ะลอซู ภาค 3 | ||
![]() |
||
ไปจับหมอกกันมั้ย |
||
View All ![]() |
<< | เมษายน 2008 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 |